Archive | กรกฎาคม, 2014

รับมือกับ”โรคแคงเกอร์”แบบปลอดภัยไร้สารผล

30 ก.ค.

ช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฏาคม ที่ผ่านมามีเกษตรกรที่ปลูกมะนาวโทรเข้ามาปรึกษากับทางชมรมเกษตรปลอดสารพิษเกี่ยวกับโรคแคงเกอร์และวิธีป้องกันกำจัดโรคแคงเกอร์ในมะนาวที่มักจะระบาดอย่างมากในช่วงถดูฝนค่อนข้างมาก ทางผู้เขียนเลยนำข้อมูลเกี่ยวกับการป้องกันกำจัดโรคแคงเกอร์ในมะนาวมาบอกเล่าให้พี่น้องเกษตรกรได้ทราบกัน ท่านผู้อ่านที่เป็นแฟนพันธุ์ของชมรมเกษตรปลอดสารพิษน่าจะพอทราบว่าต้องใช้จุลินทรีย์ที่ชื่อว่า บีเอสพลายแก้ว ในการป้องกันกำจัดโรคแคงเกอร์นี้ แต่ทางผู้เขียนขอนำมาบอกกล่าวอีกซักครั้งเพื่อเป็นการทวนความจำของท่านที่ทราบวิธีป้องกันกำจัดโรคแคงเกอร์แล้ว และเป็นข้อมูลให้กับท่านที่ยังไม่ทราบวีธีแก้โรคแคงเกอร์มะนาวแบบชมรมเกษตรปลอดสารพิษได้รู้โดยทั่วถึงกัน

โรคแคงเกอร์เป็นโรคที่ถ้าปลูกมะนาวแล้วเกษตรกรทุกคนต้องประสบพบเจอกับโรคนี้ สาเหตุของโรคเกิดจาก เชื้อแบคทีเรีย Xanthomonas campestris pv.citri ( Hasse )Dye. ลักษณะอาการ ใบของมะนาวจะแสดงอาการจุดนูนสีน้ำตาลเล็ก ๆ ล้อมรอบด้วยวงเหลือง พบทั้งสองด้านของใบ จุดเกิดกระจัดกระจายหรืออาจรวมกันทำให้เป็นแผลกว้าง
อาการที่ผลจะเห็นจุดสีน้ำตาล เนื้อเยื่อกลางจุดมักแตกเป็นแอ่ง จุดแคงเกอร์บนผลที่เป็นโรคมากจะเชื่อมตัวกันเป็นแผลกว้างบนผล เชื้อแบคทีเรียจะเข้าทำลายที่ใบ กิ่งและลำต้นตามลำดับ
วิธีการป้องกันกำจัดส่วนใหญ่เกษตรกรที่ปลูกมะนาวจะใช้สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรากลุ่มทองแดง เช่น คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ หรือไม่ก็ สเตรปโตมัยซินซัลเฟต ฉีดพ่น แต่ก็ไม่ค่อยได้ผล ในทางกลับกัน คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ และ สเตรปโตมัยซินซัลเฟต ยังทำให้ต้นมะนาวโทรมลงกว่าเดิมและสารเคมียังตกค้างภายในดิน ทำให้ต้นมะนาวขาดภูมคุ้มกันทำให้โรคแคงเกอร์กลับมาระบาดอีก
วิธีการรักษาโรคเเคงเกอร์แบบฉบับชมรมเกษตรปลอดสารพิษจะใช้วิธีชีวภาพ โดยการใช้จุลินทรีย์ที่ชื่อว่า บีเอสพลายแก้ว วิธีการใช้ก็สามารถใช้ได้หลายรูกแบบแล้วแต่ความสะดวกของท่านเกษตรกรเอง วิธีที่1 ใช้จุลินทรีย์บีเอสพลายแก้ว ในปริมาณ 5 กรัม หมักกับน้ำมะพร้าวอ่อน 1 ผล โดยทำการเฉาะผลมะพร้าวอ่อนทำเป็นฝาแง้มเปิด หยอดเชื้อลงไปแล้วหมักทิ้งไว้ให้ได้ 24 ชั่วโมงและไม่เกิน 48 ชั่วโมง หลังจากหมักได้ที่แล้วนำมาผสมกับน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก ๆ 7 วัน ในช่วงระยะเวลาแดดอ่อน หรือจะใช้ นมยูเฮชที รสหวาน 1 กล่อง หรือ นมถั่วเหลือง (แลคตาซอย, ไวตามิ้ลท์) 1 กล่อง นำมาเทใส่ถุงร้อน นำหนังยางมาผูกทำเป็นหูไว้ข้างหนึ่ง หยอดเชื้อลงไป 5 กรัม แล้วนำไปแขวนไว้ในที่ร่มทิ้งไว้โดยใช้ระยะเวลาเท่ากันกับวิธีหมักกับวิธีที่ 1 หลังจากหมักได้ที่แล้วก็นำมาผสมกับ น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นได้เหมือนกัน หรือเกษตรกรที่ปลูกเยอะฉีดยาที่ใช้น้ำเป็น 1000-2000 ลิตร ก็ใช้วิธีหมักสูตรไข่ไก่ก็ได้ คือนำไข่ไก่ 5 ฟอง มาตอกลงในน้ำ 20 ลิตร คนให้ไข่แตกแล้วใส่เชื้อบีเอสพลายแก้วลงไป 5-10 กรัม จากนั้นใช้เครื่องตีออกซิเจนมาจุ่มหรือหย่อนทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมงเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นนำมาที่หมักไปขยายกับน้ำอีก 80 ลิตร รวมเป็น 100 ลิตรแล้วนำไปฉีดพ่น(ถ้าใช้น้ำมากกว่านี้ก็ใช้การเทียบอัตรากันเอาเองนะครับ สำหรับการฉีดถ้าโรคแคงเกอร์ระบาดอย่างรุนแรงให้ฉีดทุกๆ 3 วัน กรณีฉีดป้องกันให้ฉีดทุก 7-10 วัน(ถ้ามีฝนตกในวันที่ฉีดให้ทำการฉีดใหม่ในวันถัดไป)
วิธีการป้องกันกำจัดโรคแคงเกอร์ในมะนาวด้วยจุลินทรีย์บีเอสพลายแก้วของทางชมรมเกษตรปลอดสารพิษนี้ค่อนข้างได้ผลดีเยี่ยมจากการเก็บข้อมูลจากสมาชิกของทางชมรมฯที่ปลูกมะนาวอยู่ เช่นสมาชิกทางแถบ อำเภอทางยาง จังหวัดเพชรบุรี ที่เป็นแหล่งปลูกมะนาวอันดับต้นๆของเมืองไทย สมาชิกทางอำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตรก็ได้ผลเป็นที่หน้าพอใจ นี่ยังไม่รวมอีกหลายแหล่งที่ใช้วิธีนี้แล้วได้ผลทั้งที่ สุพรรณบุรี ลพบุรี ทางภาคอีสานก็เยอะ ถ้ายังไงเกษตรกรที่ปลูกมะนาวแล้วมีปัญหาเกี่ยวกับโรคแคงเกอร์อยู่ในเวลานี้ก็ลองนำวิธีแบบชมรมเกษตรปลอดสารพิษไปแก้ปัญหาของท่านดูแล้วกันนะครับ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.085-9205846085-9205846 (ผู้เขียน) หรือสอบถามไปที่เบอร์ HOT LINE ของชมรมเกษตรปลอดสารพิษได้ที่เบอร์ 084-5554205084-5554205 ถึง 084-5554209084-5554209

เขียนและรายงานโดย นายจตุโชค จันทรภูมี

ปลูกข้าวทำนา ปรับปรุงบำรุงดินด้วยหินแร่ภูเขาไฟ ลดการใช้ปุ๋ยเคมี

29 ก.ค.

เมื่อ 75,000 ปีที่ผ่านมาภูเขาไฟลูกแรกที่ระเบิดขึ้นที่ประเทศอินโดนีเซีย บนเกาะสุมาตรา ซึ่งเป็นประเทศที่มีเกาะแก่งเยอะแยะมากมาย ภูเขาไฟที่ว่านี้มีชื่อว่าโทบา มีความรุนแรงหนักหน่วงจนได้ยินเสียงคำรามเลื่อนลั่นสั่นสะเทือนไปไกลหลายร้อยกิโลเมตร มีเศษหินฝุ่นควันขี้เถ้าขนาดใหญ่มหึมาปกคลุมพื้นโลกและบดบังดวงอาทิตย์นานเป็นเดือนๆ ว่ากันว่าการระเบิดของภูเขาไฟโทบานั้นก่อให้เกิดยุคน้ำแข็งยุคใหม่ของโลกขึ้นมาเลยเลยทีเดียว

ต่อมาในปี 1815 ก็เกิดการระเบิดเลื่อนลั่นสั่นสะเทือนอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้เสียงดังออกไปไกลกว่า 850 กิโลเมตร แม้แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ที่ประเทศไทยเราก็ยังได้ยินเสียงด้วย ในยุคสมัยนั้นประชาชนคนทั่วไปคิดว่าเป็นเสียงปืนใหญ่ของฝรั่งเศษเพราะกำลังมีเรื่องพิพาทกันอยู่ในยุคของสมัยรัชกาลที่ 5 ภูเขาไฟลูกที่ว่านี้มีชื่อว่า “แทมโบรา” เศษผงเถ้าธุลีลอยคละคลุ้งมืดดำบดบังดวงอาทิตย์นานหลายเดือนทำให้โลกเวลานั้นไม่มีฤดูร้อนย่างกรายเข้ามา กว่าละอองเถ้าธุลีจะร่วงหล่นลงมาจนท้องฟ้าโปร่งใสก็ใช้ระยะเวลาเป็นปี

นับจากนั้นอีก 150 ปีต่อมา นักวิทยาศาสตร์จึงได้รู้ว่าการระเบิดของภูเขาไฟ “แทมโบรา” นั้นเป็นการระเบิดของภูเขาไฟที่รุนแรงที่สุดในรอบหมื่นปี แม้แต่การระเบิดของภูเขาไฟวิสุเวียสที่อิตาลี มีลาวาไหลท่วมทับคนตายทั้งเป็น หรือการระเบิดของภูเขาไฟกรากาตัว (Krakatoa) ในปี 1883 มีเสียงกึกก้องไปไกลถึง 4,828 กิโลเมตรหรือ 3,000 ไมล์ มีคลื่นยักษ์สึนามิถาโถมสูงถึง 100 ฟุต มีคนล้มตายตายมากถึง 3.5 หมื่นคน ความรุนแรงก็ยังไม่เทียบเท่ากับการระเบิดของภูเขาไฟ “แทมโบรา” และถ้าอยากรู้ความรุนแรงในครั้งนั้นก็น่าจะเทียบได้กับความรุนแรงของการระเบิดปรมาณูที่อเมริกาบอมทิ้งใส่เมืองฮิโรชิม่าเท่ากับ 60,000 ลูกทีเดียวเชียวล่ะครับ

ลักษณะการเกิดของภูเขาไฟว่ากันว่า 95% จะเกิดตรงรอยต่อรอยเกยของแผ่นเปลือกโลกที่เรียกว่า subduction Zone และอีก 5% จะเกิดตรงกลางแผ่นทวีปซึ่งมีความหนาถึง 40-60 กิโลเมตร และมิได้เป็นแผ่นเดียวกันตลอดทั่วทั้งโลก การแบ่งลักษณะของเปลือกโลกทางภูมิศาสตร์จะแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ Oceanic Plate ซึ่งเป็นแผ่นทวีปที่อยู่ในท้องทะเล และ continental Plate คือแผ่นที่เหนืออยู่บนพื้นน้ำซึ่งก็คือแผ่นดินที่เรามองเห็นนั่นเอง และทุกๆความลึกของชั้นเปลือกโลกที่ 60 ฟุต อุณหภูมิจะสูงขึ้น 1 องศาฟาเรนไฮด์ แผ่นเปลือกโลกชั้นในที่อยู่ใกล้แกนโลกจะได้รับความร้อนมหาศาลจนหลอมละลายกลายเป็นหินหนืด (แมกมา) มีลักษณะไหลวนเวียนไปมาเหมือนน้ำเดือดในกาต้มน้ำ จะมีไอน้ำส่วนหนึ่งระเหยออกทางรอยแยกเหมือนไอน้ำระเหยทางปากของกาต้มน้ำ. อุณหภูมิของหินหนืดจะอยู่ระหว่าง 980-1,200 องศาเซลเซียส และมีแรงดันอยู่ที่ 1 ล้านปอนด์ต่อตารางนิ้ว พร้องที่จะระเบิดทะลักทะลายออกมาตรงส่วนที่อ่อนแอที่สุดของแผ่นเปลือกโลกไม่ว่าจะเป็นรอยเหลื่อม รอยแยก รอยแตกหรือรอยร้าว และเราเรียกว่าของเหลวที่หลั่งออกมานั้นว่า “ลาวา”

หินหนืดหรือแมกมาเมื่อถูกแรงดันแรงผลักใต้ชั้นเปลือกโลกอย่างมหาศาลผลักดันให้ระเบิดเกิดขึ้นสู่ปากปล่องภูเขาไฟจนกลายเป็น “ลาวา” มาสัมผัสกับแรงดันของชั้นบรรยากาศบนผิวโลกที่บางเบาเพียงหนึ่งชั้นบรรยากาศจึงเกิดการพองขยายตัวเหมือนข้าวโพดคั่วหรือป๊อปคอร์น ก๊าซและไอน้ำระเหยออกเกิดช่องว่างและอากาศเข้ามาแทนที่มีรูพรุนและโพรงมากมายเมื่อเย็นตัว ซึ่งมีองค์ประกอบของแร่ธาตุและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ได้จากการหลอมละลายจากหินแร่ธรรมชาติ(Mineral) และมีคุณสมบัติที่พร้อมต่อการผุกร่อนย่อยสลายกลายเป็นอาหารแก่สิ่งมีชีวิตบนโลกทั้งแพลงค์ตอน, พืช, สัตว์ และจุลินทรีย์ ฯลฯ

การนำหินลาวา หินแร่ภูเขาไฟที่ผ่านความร้อนหลายร้อยหลายพันองศา และถูกปล่อยทิ้งไว้จนเย็นตัวลง ผ่านกาลเวลาหลายสิบหลายร้อยล้านปี จึงมีความพร้อมต่อการทำหน้าที่เป็นแร่ธาตุและสารอาหารเติมเต็มความอุดมสมบูรณ์ปรับปรุงบำรุงดิน จนดินมีคุณสมบัติคล้ายกับดินตามป่าเขาลำเนาไพรที่มีความสมบูรณ์ดียิ่ง เมื่อมีการนำไปเติมเสริมลงในแปลงเรือกสวนไร่นา ก็ทำให้ผืนดินบริเวณนั้นถูกจำแลงแปลงผืนดินธรรมดาให้กลายเป็นพื้นที่ภูเขาไฟ คล้ายกับพื้นที่เกษตรกรรมบนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ที่มีผู้คนชนทั่วโลกไปเยี่ยมชมการทำเกษตรท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่มิได้มีการฉีดพ่นปุ๋ยยาลงไปเสริมเติมแต่งแม้แต่หยดละอองเดียวก็สามารถทำให้พืชเจริญเติบโตและแข็งแกร่งต้านทานต่อโรคแมลงเพลี้ยหนอนราไรได้เป็นอย่างดี การใช้หินแร่ภูเขาไฟปรับปรุงบำรุงดินในแปลงนาข้าวจะช่วยลดการใส่ปุ๋ยเคมีลงไปได้มาก สะสมมากจนเพียงพอ จนแทบจะไม่ต้องใส่ปุ๋ยเคมีอีกได้เลย สามารถช่วยให้พี่น้องเกษตรกรมีต้นทุนการผลิตต่ำ กำไรเพิ่มขึ้นได้ไม่ยาก

มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

ตั้งรับสถานการณ์เอลณิโญ ปรับตัวแก้ปัญหาภัยแล้งที่ผิดปกติ

28 ก.ค.

เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ภาคอีสาน ไม่ว่าจะเป็นบึงกาฬ กันทรลักษณ์ จ. ศรีษะเกษ และทางปราจีนบุรี ซึ่งประชาชนคนนอกพื้นที่หรือเราๆท่านๆที่ไม่ค่อยได้ติดตามข่าวอย่างเกาะติดชิดขอบจออาจจะไม่ทราบและหลุดเฟรมไปได้โดยไม่ตั้งใจ ถึงแม้ว่าฝนจะตกลงมามากมายในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในป่าคอนกรีตอย่างกรุงเทพฯ รู้สึกว่าจะบ่อยและหนักหน่วงเกือบทุกวัน ฝนที่ตกลงมาและในบางพื้นมีน้ำท่วม (ภาคอีสาน) แต่น้ำในเขื่อนใหญ่ๆ หลายเขื่อนกลับมีน้ำน้อยกว่าปรกติเมื่อเทียบในช่วงเดียวกันกับปีก่อน ไม่ว่าจะเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิตต์ และเขื่อนที่ใกล้ๆเราอย่างเขื่อนขุนด่านปราการชลนั้นระดับน้ำลดลงจากปีก่อนถึง 6% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน บ่งบอกว่าพี่น้องเกษตรกรอาจจะมีความเดือดร้อนจากปัญหาภัยแล้งได้ เมื่อเทียบกับข้อมูลที่ได้เขียนเล่าไว้บ่อยๆ ในคอลัมน์นี้เกี่ยวกับเรื่องปรากฎการณ์เอลณิโญ่ที่จะเกิดกับภูมิภาคเราทุกๆ4-5 ปี

ยิ่งมีข่าวเกี่ยวกับควันไฟป่าบนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซียทางช่อง PPTV ล้วนมีนัยยะที่สอดคล้องกับปรากฎการณ์เอลณิโญค่อนข้างแจ่มชัดจากการเตือนของนาซ่า ปรากฎการณ์เอลณิโญ่คือปรากฎการณ์ความผิดปรกติของสภาพภูมิอากาศเหนือน่านน้ำมหาสมุทรแปซิฟิกที่มีความกดอากาศสูงขึ้น กอรปกับอุณหภูมิน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกก็อุ่นหรือร้อนขึ้น มีผลทำให้ลมสินค้าตะวันออกที่เคยพัดพาดผ่านจากฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกไปยังมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกอ่อนตัวลง จึงทำให้กระแสลมค่อยๆพัดตีกลับจากด้านมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันตกไปยังฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันออกแทนซึ่งทำให้เกิดปรากฎการณ์ที่ผิดปรกติหรือเราเรียกกันว่า เอลณิโญ และลานินญา ซึ่งในสภาวะปรกติอุณหภูมิของน้ำบริเวณเส้นศูนย์สูตรจะสูงจากการที่ลักษณะทางกายภาพบริเวณเส้นศูนย์สูตรอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ทำให้เกิดการระบายความร้อนกลายเป็นไอระเหยขึ้นสู่บรรยากาศ และหย่อมความกดอากาศเหนือน่านน้ำมหาสมุทรก็ต่ำ ทำให้หย่อมความกดอากาศสูงไหลเข้ามาแทนที่ซึ่งก็คือลมสินค้าตะวันออกนั่นเองที่พัดพาเอากระแสน้ำอุ่นจากฝั่งทวีปอเมริกาใต้ เอกวาดอร์ ชิลี เปรู หรือฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันออกมาสู่ฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันตกซึ่งก็คือฝั่งทวีปออสเตรเลียและหมู่เกาะอินโดนีเซีย รวมถึงหมู่เกาะต่างๆที่อยู่บริเวณนี้ด้วย กระแสน้ำอุ่นที่ถูกลมสินค้าตะวันออกสินค้าตะวันออกพัดพามากองรวมอยู่ทางฟากออสเตรเลียและหมู่เกาะอินโดนีเซียทำให้ระดับน้ำฝั่งนี้สูงกว่าฝันตะวันออกถึง 50-60 เซนติเมตร กระแสน้ำอุ่นฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกจึงยกตัวขึ้นทำให้กระแสน้ำเย็นด้านล่างลอยขึ้นมาแทนที่พร้อมกับแร่ธาตุสารอาหารของภูเขาไฟใต้ท้องทะเลขึ้นมาทำให้มีแพลงค์ตอนและปลาเกิดขึ้นจำนวนมาก ส่งผลดีต่อนกทะเลและอาชีพประมงทางชายฝั่งชิลีและเปรูจนขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งจับปลากระตักหรือปลาไส้ตันเป็นอันดับต้นๆของโลก
เมื่อเกิดปรากฎการณ์เอลณิโญลมสินค้าตะวันออกอ่อนตัวลงกระแสน้ำอุ่นที่แต่เดิมถูกพัดมารวมอยู่ฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกจึงค่อยๆทยอยไหลกลับมาพร้อมกับลมที่พัดหวนทำให้อุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกส่วนกลางและตะวันออกอุ่นขึ้นเกิดไอน้ำและฝนตก น้ำท่วม และกระทบกับอาชีพประมง นกอดอาหารจากกระแสน้ำอุ่นที่ไหลกลับมากดกระแสน้ำเย็นมิให้ลอยตัวขึ้น ทางฝั่งมหาสมุทรฝั่งตะวันตกอย่างทวีปออสเตรเลียและหมู่เกาะอินโดนีเซียหรือตอนใต้ของเอเอชียอุณหภูมิน้ำในมหาสมุทรก็จะเย็นลง ไม่มีไอน้ำระเหยขึ้น จะกระทบฝนทิ้งช่วงเกิดปัญหาภัยแล้ง ควันไฟป่า ทำให้พืชไร่ไม้ผลภาคการเกษตรเสียหายหนักเบาขึ้นกับสถานการณ์เอลณิโญในแต่ละปี ซึ่งเหตุการณ์เอลณิโญนี้จะเกิดขึ้นทุกๆ 4-5 ปี. ในอดีตเมื่อปี 2540-2541 ก็ถือว่ามีความรุนแรงหนักหนาสาหัสมากอยู่เหมือนกัน

ในปีนี้ก็คาดว่าจะเกิดปรากฎการณ์เอลณิโญเช่นเดียวกันและน่าเป็นห่วงว่าจะรุนแรงพอๆกับปี2540-2542หรืออาจจะมากกว่ายิ่งหันกลับไปดูปริมาณน้ำในเขื่อนด้วยแล้วยิ่งน่าใจหายเพราะปริมาณน้ำในเขื่อนที่สำรองต่ำกว่าเกณฑ์เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ จึงอยากให้ทุกคนชช่วยกันภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้ฟ้าฝนหรือพายุลูกแล้วลูกเล่าที่เข้ามาและผ่านไปให้น้ำฝนโปรยปรายตกเหนือเขื่อนทุกเขื่อนในประเทศไทยให้มากๆ เพื่อที่พี่น้องเกษตรกรจะได้ไม่เดือดร้อนจากปัญหาภัยแล้ง หรือไม่ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับวิกฤติภัยแล้งที่จะเกิดขึ้นด้วยการทำสระน้ำประจำไร่นาตามแนวพระะราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่สามารถช่วยทำให้พี่น้องไทยทั่วทั้งประเทศมีแหล่งน้ำทำการเกษตรได้ เตรียมการสำรวจตรวจรอยรั่วซึมใช้สารอุดบ่อกันรั่วกันซึมให้เรียบหรือการใช้สารอุ้มน้ำโพลิเมอร์มาประยุกต์ใช้ในการปลูกพืชก็สามารถที่จะแก้ปัญหาภัยแล้งลดการสูญเสียในครานี้ได้ไม่มากก็น้อย

มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

พีเอชแกว่ง กุ้งอ่อนแรง กินอาหารน้อย อ่อนแอเจ็บป่วย

25 ก.ค.

การเจ็บป่วยของกุ้งนั้น สามารถเกิดได้มากมายหลายสาเหตุ ใช่ว่าจะมาจากเชื้อโรคเพียงอย่างเดียว การที่น้ำและพื้นบ่อสกปรกก็เกิดปัญหาที่ทำให้กุ้งเจ็บป่วยได้เช่นกัน เพราะเมื่อขี้กุ้งและอาหารกุ้งที่ตกค้างบูดเน่าก็ส่งผลทำให้แก๊สพิษต่างๆ อย่างแอมโมเนียไนไตรท์ ไฮโดรเย่นซัลไฟด์ มีเทน สามารถแทนที่ก๊าซออกซิเจนทำให้เกิดอาการขาดอากาศหายใจ เปรียบเหมือนเราอยู่อาศัยใกล้บ่อขยะ ใกล้แหล่งชุมชนเสื่อมโทรมที่มีน้ำเน่าเสีย เมื่อจะรับประทานหรือหลับนอนแล้วมีกลิ่นเหม็นที่หลากหลายรูปแบบจากขยะหลากหลายชนิด บางครั้งก็ทำให้การกินอยู่หลับนอนและสุขภาพจิตเสื่อมโทรมได้เช่นกัน

การเจ็บป่วยอ่อนแอของกุ้งอีกสาเหตุหนึ่งก็คือเกี่ยวกับเรื่องความความเป็นกรดและด่างของน้ำเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วกลับไปกลับมา บางครั้งเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งก็เรียกกันว่าพีเอชแกว่ง ซึ่งก่อปัญหาให้กุ้งเครียด ไม่กินอาหาร อ่อนแอ เนื่องจากบรรยากาศสภาพแวดล้อมแปรปรวนสร้างความมึนงงคล้ายดังมนุษย์อยู่บนเรือที่โคลงเคลง ทำให้คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศรีษะ ส่งผลให้ร่างกายเจ็บป่วยเอาง่ายๆ ได้เช่น ส่วนกุ้งนั้นเมื่อเครียดและอ่อนแอก็เจ็บป่วยตามรูปแบบและสไตล์ของกุ้ง คืออาจจะเกาะขอบบ่อ วิ่งล่อง (กุ้งล่อง) ซึ่งถือว่าผิกปรกติผิดวิสัยของกุ้งที่เป็นสัตว์หากินอยู่ที่พื้นบ่อจะไม่ขึ้นมาเหนือน้ำให้นกกาจับกินง่ายๆ

เกษตรกรผู้เลี้ยงท่านใดที่มีปัญหานี้สามารถแก้ไขได้นะครับ เพราะสาเหตุเกิดจากปล่อยให้มีขี้เลน ขี้กุ้ง อาหารกุ้งที่ตกค้างหลงเหลือมาก ขาดการตีน้ำ ขาดการเช็คยอ ไม่มีบ่อพักน้ำ ปล่อยให้น้ำในบ่อมีระดับความลึกที่น้อยเกินไป จึงทำให้ปัญหาแพลงค์ตอนบลูมจากไนโตรเจนส่วนเกินจากก๊าซแอมโมเนียในบ่อ แพลงค์ตอนพืชที่มีสีเขียวก็เปรียบได้กับว่าเป็นพืชชนิดหนึ่ง ซึ่งในอดีตเราอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวอย่าอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ในเวลากลางคืน เพราะพืชจะคายก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ออกมาแล้วยังแย่งใช้ก๊าซอ๊อกซิเจนด้วย เมื่อพืชจำนวนมากอาศัยเจริญเติบโตอยู่ในบ่อกุ้งของเรา ยิ่งมีความหนาแน่นมากจนสีน้ำหนืดก็ยิ่งสร้างปัญหาสร้างผลกระทบ

เมื่อเขาปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา รวมตัวกับน้ำจะกลายเป็นกรดคาร์บอนิคทำให้ในเวลากลางคืนน้ำจะเป็นกรดมาก ในเวลากลางตรงกันข้ามคือพืชจะดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้ทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เจือจาง และพีเอชความเป็นกรดลดน้อยถอยลงตามไปด้วย แต่ถ้าถูกดูดไปใช้งานมากเข้าๆ ค่าความเป็นด่างในน้ำก็จะมีสูงขึ้น ทำให้เกิดภาวะกลางคืนเป็นกรดกลางวันเป็นด่างหรือเรียกว่าพีเอชแกว่ง แนวทางการแก้ปัญหาต้องลดปริมาณของเสียโดยที่ใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายโปรตีนโดยเฉพาะ (บาซิลลัส MT) และจับก๊าซของเสียด้วยกลุ่มหินแร่ภูเขาไฟ (สเม็คโตไทต์) ก็จะช่วยตัดขั้นตอนของการเกิดไนโนตรเจนไปเลี้ยงพืช เพราะธาตุไนโตรเจนก็คล้ายๆกับปุ๋ยพืชในชื่อสูตรยูเรีย 46-0-0 ซึ่งเน้นให้พืชงอกงามเจริญเติบโตได้รวดเร็วโดยเฉพาะใบ

มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

น้ำหนืดน้ำเขียว เกี่ยวกับแอมโมเนียและไนไตรท์ในบ่อเลี้ยงกุ้ง

24 ก.ค.

ข่าวคราวเกี่ยวกับประมงที่มั่นอกมั่นใจว่าผลผลิตกุ้งปีนี้น่าจะได้มากถึง 3.1-3.2 แสนตัน เนื่องด้วยนโยบายเกี่ยวการเพิ่มปริมาณพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กุ้ง 1,500 คู่ที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ในเรื่องการแก้ไขสายเลือดชิด ที่จะช่วยในเรื่องของความแข็งแรงขจัดความอ่อนแอให้หมดไป ซึ่งจะช่วยทำให้กุ้งมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น โอกาสที่จะเป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างก็จะมีจำนวนลดน้อยลง อีกทั้งนโยบายในการเปิดห้องแลปให้บริการอย่างทั่วถึงทั่วประเทศและมีกรณีตัวอย่างให้ไว้ดูเป็นตัวอย่างอยู่หลายกรณี และอีกหนึ่งโครงการคือการผลิตจุลินทรีย์ ปม.1 ซึ่งอยู่ในกลุ่มโปรไบโอติกก็จะช่วยทำให้กระบวนการย่อยของกุ้งมีประสิทธิภาพดีมากยิ่งขึ้น จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้กรมประมงมั่นใจว่าสถานการณ์กุ้งน่าจะดีขึ้น โดยที่เอกชนนั้นคาดการณ์สถานการณ์แตกต่างจากกรมประมงคือคาดว่าจะสามารถผลิตกุ้งได้เพียง 2.7 แสนตันเพียงเท่านั้น

ก็ต้องตามลุ้นกันไปล่ะครับท่านผู้อ่าน เพราะสถานการณ์ตอนนี้เท่าที่ทราบก็อาจจะเรียกได้ว่าสถานการณ์ยังคละคลุ้งตลบอบอวนไปด้วยฝุ่นควัน เพราะโรงงานผลิตกุ้งแช่แข็งก็ล้มหายตายจากไปมากและโรงงานบริษัทใหญ่ๆก็อพยพโยกย้ายไปยังต่างประเทศโดยเฉพาะอินเดียก็ถือว่ามากโดยเฉพาะบริษัทใหญ่ๆชั้นนำของบ้านเรา ส่วนโรงงานที่อยู่ก็เปลี่ยนแปลงหันเหไปผลิตสินค้าชนิดอื่นทดแทน จึงทำให้สถานการณ์กุ้งในห้วงช่วงเดือนที่ผ่านมาไม่ค่อยจะสู้ดีนัก อีกทั้งปัญหาในเรื่องของโรคอีเอ็มเอสที่ยังแก้ไม่ตกก็ถือเป็นตัวฉุดรั้งสถานการณ์กุ้งให้ตกต่ำด้วยเช่นกัน

การลดต้นทุนด้วยการทำบ่อให้สะอาด ให้อาหารแบบพอเหมาะพอดีมีการเช็คยอ นอกจากจะช่วยทำให้กุ้งไม่เครียด แข็งแรง โตเร็วแล้ว ยังช่วยลดปริมาณการเน่าเสียซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดก๊าซแอมโมเนีย ซึ่งในกระบวนการย่อยสลายท้ายที่สุดจะเกิดก๊าซไนโตรเจนที่ทำให้สาหร่ายหรือแพลงค์ตอนในท้องน้ำเจริญเติบโตงอกงามจำนวนมากก่อให้เกิดน้ำเขียวน้ำหนืดเหนียวข้นก่อให้เกิดปัญหาพีเอชแกว่งในเวลากลางวันและกลางคืนทำให้กุ้งหรือปลาเครียดโตช้า ดังนั้นการใช้จุลิทรีย์ที่ช่วยย่อยสลายขี้กุ้งโดยเฉพาะหรือหินภูเขาไฟจับก๊าซของเสียที่พื้นบ่อก็จะช่วยแก้ปัญหาน้ำเน่าเสียช่วยให้กุ้งไม่เครียดโตเร็วมากยิ่งขึ้น ต้นทุนต่ำเพราะไม่ต้องใช้ยาหรือวิตามินมาช่วยเสริมเพิ่มเติมมากจนเกินไป

มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

ต้องลดต้นทุนการทำนาข้าวทางรอดเดียวในยุคนี้ ตอนที่1

23 ก.ค.

เมื่อกล่าวถึงสถานการณ์เกี่ยวกับราคาสินค้าภาคเกษตร ณ เวลานี้บอกได้คำเดียวว่าแย่มากๆถึงมากที่สุดครับ โดยเฉพาะ ข้าว และยางพารา ที่ถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ราคาข้าวอยู่ที่เกวียนละไม่เกิน 7-8 พันบาท ยางพารากิโลกรัมละ 57 บาท เกษตรกรเริ่มแย่ไม่ค่อยจับจ่ายใช้สอย ทำให้เศรษฐกิจด้านอื่นๆซบเซาลงไปด้วย เช่น สินค้าด้านอุปโภค-บริโภค แต่ที่หนักอยู่ตอนนี้น่าจะเป็นชาวนาที่ต้องเจอวิบากกรรม เรื่องของราคาข้าวตกต่ำ ต้นทุนในการทำนาสูง ซึ่งตอนนี้ต้นทุนการทำนาใน 1 รอบอยู่ที่เกือบ 8,000 บาท บางคนก็มีต้นทุนเรื่องค่าเช่าเข้ามาอีก ยิ่งค่าเช่าในปัจจุบันนี้ยึดตามช่วงที่ราคาข้าวช่วง 15000 บาท โดยค่าเช่านาตอนนี้อยู่ที่ 2000 บาท ต่อไร่ต่อการทำนา 1 ครั้ง ต่างจากแต่ ก่อนที่ราคาค่าเช่านาอยู่ที่ไร่ละ 1000-2000 บาทต่อปี จนถึงขั้นมีการร้องไปยัง ค.ส.ช.ให้เข้ามาควบคุมเรื่องราคาค่าเช่านาที่สูงเกินจริงอยู่ในเวลานี้

ทางทีมงานชมรมเกษตรปลอดสารพิษมองว่าทางรอดเดียวในเวลานี้เกี่ยวกับการทำนาก็คือการลดต้นทุนการการทำ ซึ่งการลดต้นทุนการทำนาสามารถทำได้หลากหลายวิธี ซึ่งในการช่วยลดต้นทุนการทำนาได้ก็คือ การใช้ปุ๋ย-ยา ให้เป็น ขยายความของคำว่าการใช้ปุ๋ย-ยาให้เป็นก็คือ การใช้ปุ๋ย-ยา ที่จำเป็นมีประโยชน์สำหรับข้าว สิ่งไหนที่ไม่จำเป็นก็ตัดออกไปซะ ใช้เฉพาะตัวที่จำเป็นจริงๆ ก็น่าแปลงใจเหมือนกันเกี่ยวกับพฤษติกรรมการทำนาของชาวนา ซึ่งเรื่องของราคาข้าวตกต่ำนี้เคยมีมาแล้วเมื่อปี 2552 ในตอนนั้นชาวนาจะประหยัดเรื่องของการใส่ปุ๋ยฉีดยากันมาก แต่พอมาช่วงที่มี ประกันราคาข้าว ต่อด้วยรับจำนำ ชาวนาก็จะเปลี่ยนมาใช้ยาแพงๆ ชุดละเป็นพัน ทั้งที่ภายในตัวยาหรือฮอร์โมนที่ชาวนาเรียกกันจนติดปากที่จริงแล้วมันก็คือหลายอาหารรองธาตุอาหารเสริมของพืช เช่น แมกนีเซียม โบรอน สังกะสี วิตามิน เหล็ก ทองแดง แมงกานีส เป็นต้น ซึ่งมีอยู่ทั่วไปหลากหลายตามร้านเคมีเกษตร เราควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของธาตุอาหารครบ อัตราการใช้น้อย(เพราะอัตราการใช้น้องแสดงว่ามีปริมาณสารที่เข้มข้น) มาใช้ไมจำเป็นว่าต้องยาดียาแพงเสมอไป ต้นทุนเรื่องค่ายาฮอร์โมนของชาวนาทุกวันนี้จากที่เช็คข้อมูลดูแล้วตกอยู่ไร่ละ 1000-2000 บาทเลยทีเดียว ถ้าเราเซฟเรื่องการฉีดฮอร์โมนลงไปได้แล้ว ก็เป็นการประหยัดต้นทุนลงไปได้อีกทางหนึ่ง

ฮอร์โมนสำหรับข้าวของทางชมรมเกษตรปลอดสารพิษแนะขำให้ใช้ ซิลิโคเทรซ + ไวตาไลเซ่อร์ + ไคโตซานMT เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มธาตุอาหารพืช เป็นอาหารเสริมให้กับพืชทุกชนิดรวมไปถึงข้าวด้วย ถ้ารวมผลิตภัณฑ์ 3 อย่างนี้เข้าด้วยกันแล้วจะได้ธาตุอาหารรองเสริมครบเลยแถมมีธาตุพิเศษอย่าง ไคโตซานและซิลิก้าด้วย แถมอัตราการใช้ก็น้อยมากเพียง ใช้อย่างละ 5 กรัม ต่อน้ำ 200 ลิตร ชุดหึ่งก็ฉีดได้ 2000 ลิตร ฉีดได้ 50 ไร่ โดยต้นทุนเพียง 500 บาท ประเด็นที่ผู้เขียนอยากจะสื่อกับชาวนาก็คือ การทำนาไม่จำเป็นว่าต้องใช้ของแพงเสมอไป ของดีราคาถูกก็มี เพียงแต่เรารู้จักเลือกรู้จักสรรหาสิ่งที่มีประโยคและจำเป็นจริงๆ สิ่งที่ไม่จำเป็นต่างๆเช่น ยาฉีดให้เมล็ดใส ข้าวไม่ลาย ยาฉีดให้ข้าวออกพร้อมกัน ยาฉีดกระชากรวง ต่างๆเหล่านี้ให้ตัดออกซะจะฉีดให้เมล็ดเหลืองสวยไปทำไมในเมื่อโรงสีก็ซื้อคุณราคาเดียวกันกับข้าวคนอื่นๆ เราควรทำนาให้เป็นนะครับ เพื่อให้มีกำไรเหลือไปใช้หนี้ต่างๆที่แบกรับอยู่ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่คุณจตุโชค จันทรภูมี โทร.085-9205846 หรือสอบถามไปที่เบอร์ HOTLINE ส่วยด่วนของทางชมรมเกษตรปลอดสารพิษที่เบอร์ 084-5554205 ถึง 084-5554209

เขียนและรายงานโดย : นายจตุโชค จันทรภูมี (นักวิชาการ)

รู้ก่อนปรับตัวก่อน กับมะนาวนอกฤดูช่วงหน้าฝน

22 ก.ค.

กษตรกรทราบดีอยู่แล้วว่ามะนาวชอบดินชื้นแต่ไม่แฉะ เพราะฉะนั้นอาจทำให้รากมีปัญหา ดูดซับธาตุอาหารไม่เต็มที่ ยิ่งหน้าฝนยิ่งก่อให้เกิดผลกระทบตามมามากมาย ปีไหนฝนตกชุกดอกก็ร่วงมีแต่ใบ เนื่องจากไนโตรเจนเยอะ ทำให้เกษตรกรหลายต่อหลายท่านที่ทำมะนาวนอกฤดูผิดหวังตามๆกัน เพราะหวังให้ออกดอกช่วงหน้าหนาวแล้วไปเก็บผลผลิตช่วงหน้าแล้งพอดี

ยิ่งฝนตกหนักน้ำท่วมขังก็ต้องคอยยกร่องป้องกันโรคที่จะตามมาช่วงหน้าฝน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแคงเกอร์ เชื้อรา เพลี้ยไฟ ฯลฯ ต้องหมั่นฉีดพ่นบีเอส-พลายแก้วเสมอๆป้องกันไว้ก่อนอย่างน้อย 2 สัปดาห์/ครั้งก็ยังดี เวลาเดียวกันแมลงปากดูดอย่างเพลี้ยไฟ ไรแดง แมลงหวี่ขาว ก็ให้ฉีดพ่นกำจัดด้วยไทเกอร์เฮิร์ปและทริปโตฝาจแทนเคมีกำจัดแมลง จากนั้นก็พรวนดินหว่านปุ๋ยคอกร่วมกับไตรโคเดอร์ม่าและพูมิชซัลเฟอร์ เพิ่มซิลิก้าให้เปลือกลำต้นแข็ง

หน้าหนาวเป็นช่วงที่ความชื้นและมะนาวนอกฤดูกำลังออกดอก เริ่มติดผลอ่อนๆ เป็นช่วงเวลาสำคัญของชาวสวนมะนาว เพราะนั้นหมายถึงจำนวนผลผลิตที่จะตามมาช่วงมะนาวราคาแพง ที่สำคัญก่อนหน้านี้ต้องบำรุงต้นให้สมบูรณ์มาก่อนไม่เช่นนั้นมะนาวจะสลัดผล อ่อน ไม่ติดผลเนื่องจากต้นไม่สมบูรณ์นั่นเอง ปัญหาที่เกษตรกรเจอช่วงนี้ส่วนใหญ่เป็นเชื้อราลงขั้ว เกิดจากกลีบดอกที่ร่วงแล้วมาอัดรวมกันบริเวณขั้วที่เพิ่งติดผล เกิดเชื้อราทำให้ผลอ่อนหลุดร่วงหรือที่ชาวสวนเรียกว่า “หักคอม้า” นั่นเอง แก้โดยการเขย่าเบาๆให้กลีบดอกร่วงลงพื้น หรือฉีดพ่นบีเอส-พลายแก้วป้องกันทีเดียวเลยก็ได้

แนวทางที่ผู้เขียนนำเสนอหวังว่าเกษตรกรผู้ปลูกมะนาวสามารถนำไปปรับใช้ให้ เข้ากับสถานการณ์เกิดขึ้นในสวนมะนาวของท่านได้ ที่สำคัญต้องบำรุงต้นมะนาวให้สมบูรณ์ ตรงนี้แหละที่สำคัญต่อผลผลิตมะนาว สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ 02-9861680-2 หรือผู้เขียน 081-6929660

เขียนและรายงานโดย : คุณเอกรินทร์ ช่วยชู (นักวิชาการชมรมฯ)
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

ข้าวกระทบหนาวต้องบรรเทาด้วย สูตรแก้หนาวข้าวได้น้ำหนัก

21 ก.ค.

รอบฤดูการผลิตข้าวในหนึ่งปีจะมีอยู่หนึ่งฤดูกาลเท่านั้นท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่าจะเป็นฤดูที่มีความเหมาะสมมากที่สุดในทุกๆปัจจัยที่จะช่วยให้ข้าวมีผลผลิตออกมามากที่สุดกว่าทุกฤดูกาล ชาวนาในพื้นที่ภาคกลางโดยเฉพาะผู้ที่มีพื้นที่ในเขตชลประทานนั้นเขาจะสามารถเพาะปลูกข้าวได้มากถึงสองครั้งครึ่งหรือถึงสามครั้งถ้ามีการวางแผนเรื่องเวลาให้พอเหมาะพอดี แต่อย่างว่าล่ะครับนาที่อยู่ในพื้นที่ชลประทานไม่จำเป็นต้องรอน้ำฝนแต่เพียงอย่างเดียว เมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จก็สามารถที่จะคราดไถทำเทือกเตรียมหว่านได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องรอน้ำจากฝนฟ้า จึงทำให้สามารถบริหารจัดการเรื่องเพาะปลูกได้อย่างรวดเร็ว จะช้าไปบ้างก็เพียงรอรถเกี่ยว หรือรอรถไถ รถแทรกเตอร์ หรือรอรถอีขลุก ที่มีการจองคิวรอกันเป็นหางว่าวในฤดูทำนา

ถ้ารอบการปลูกตรงกับช่วงสภาพอากาศที่ดีที่สุดของปีนั้น ๆผลผลิตที่จะได้ร้อยถังต่อไร่ก็ทำได้ไม่ยาก และก็แทบไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณในการป้องกำจัดโรคและแมลงและปุ๋ยยาที่สูงจนเกินเหตุ. (เพราะทุกอย่างดูจะง่ายดายไปเสียหมด) ฤดูกาลที่ว่าแต่ละปีไม่แน่ไม่นอนส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในห้วงช่วงเดือนสิงหาคมไปหาพฤศจิกายนธันวาคมนี่แหละครับ ถ้าระยะเวลาเลื่อนต่ำลงมากไปกว่านี้ก็อาจจะกระทบฝนมากไป และถ้าเลื่อนสูงไปกว่านี้ก็จะไปกระทบหนาวได้อีกเช่นกันทำให้ผลผลิตได้ออกมาไม่เต็มที่ ฉะนั้นในหนึ่งปีที่ทำนาปลูกข้าวกันหลายรอบนั้น ชาวนาจะมีรายได้ที่ที่สุดเพียงครั้งเดียว ที่เหลืออีกหนึ่งหรือสองครั้งก็จะได้แบบพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องพอประทังหรือพอให้มีเงินทุนหมุนเวียนใช้ไปได้วันต่อวัน

ยิ่งถ้าปีใดต้องเจอกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นมากๆ ข้าวก็จะมีอาการต้นและใบเหลือง และมีอาการจู๋คือข้าวอยู่ระหว่างตั้งท้องกระทบหนาวและเมื่อถึงเวลาออกรวง แต่ไม่สามารถออกรวงได้จนสุด ออกมาเพียงครึ่งๆกลางๆ จึงยิ่งทำให้ผลผลิตลดน้อยถอยลง ขายได้ปริมาณน้อย และได้รับเงินน้อยตามมาเช่นกัน ข้าวที่กระทบกับอากาศหนาวและมีใบเหลือง เกษตรกรชาวไร่ชาวนาก็หวาดระแวงกลัวจะมีปัญหารีบนำปุ๋ยยูเรียมาหว่านพรมทับลงไป (แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรแม้แต่น้อย) เพราะไนโตรเจนจากปุ๋ยยูเรียไม่สามารถตอบสนองต่อการดูดกินของต้นข้าวได้ดีนักในช่วงอากาศหนาวเย็น กระบวนการเผาผลาญ (metabolism) ยังไม่ค่อยทำงานหรือแอคทีฟ. และจะให้โทษมากกว่าประโยชน์ในช่วงระยะเวลาที่ข้าวได้รับความอบอุ่นเมื่ออากาศหนาวผ่านพ้นไป คือข้าวจะได้รับไนโตรเจนส่วนเกินค่อนข้างมากทำให้เฝือใบงามใบ อวบอ้วนง่ายต่อการทำลายของหนอนและแมลง

วิวัฒนาการของการแก้ปัญหาเรื่องข้าวกระทบหนาวนั้น ทางชมรมเกษตรปลอดสารพิษได้มีการส่งเสริมมาตั้งแต่การใช้จุลธาตุกลุ่มสังกะสีหรือซิงค์คีเลท75% และพัฒนาเรื่อยมาเป็นไวตาไลเซอร์ และก็พัฒนามาจนถึงตัวที่คิดว่าดีที่สุดในขณะนี้ เพราะได้มีการเพิ่มองค์ประกอบในการต้านอากาศที่หนาวจัดและร้อนจัดโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น สังกะสี นิกเกิล ซัลเฟอร์ และยังมีธาตุเสริมให้มีภูมิต้านทานมากยิ่งขึ้นอีกอย่างซิลิสิค ทองแดง แมงกานีส ฯลฯ ผลิตภัณฑ์ที่ว่าก็คือ “ไรซ์กรีนพลัส” นั่นเอง สามารถนำไปใช้ในแปลงนาข้าวเมื่อมีปัญหากับสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนแปรปรวนหรืออากาศที่หนาวจัดแงะร้อนจัด และยังสามารถนำไปใบ้ได้กับพืบทุกชนิด ในอัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรทุกๆ5-7 วัน

มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

ป้องกันกำจัดหนอนชอนใบมะนาว ตอนที่2 การแก้ปัญหาช่วงที่ระบาดรุนแรง

17 ก.ค.

ในตอนที่แล้ว ได้แนะนำแนวทางการป้องกันหนอนชอนใบมะนาวโดยการเน้นไปที่ต้นเหตุของหนอนชอนใบ นั้นก็คือผีเสื้อกลางคืนโดยการใช้ ผงสมุนไพร “ไทเกอร์เฮิร์บ” ฉีดป้องกันส่งกลิ่นเหม็นขับไล่ไม่ให้ผีเสื้อกลางคืนเข้ามาวางไข่ทำให้เกิดหนอนในสวนมะนาว กันแล้ว สำหรับบทความตอนนี้จะพูดถึงตอนที่หนอนชอนใบระบาดแล้ว ควรหมั่นสำรวจตรวจตราต้นและใบของมะนาวในของท่านว่ามีลักษณะอาการที่แสดงให้เห็นถึงการระบาดหนอนชอนใบ เช่น สังเกตไปที่บนใบมะนาวมีเส้นคดเคี้ยวไปมามั้ย ใบแสดงอาการหงิกงอหรือไม่ มีใบม้วนเข้าหาเส้นกลางใบ และใบไม่มีการเจริญเติบโต ถ้าเริ่มมีอาการต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นนี้แล้ว แสดงว่า ต้นมะนาวของท่านกำลังประสบปัญหาหนอนชอนใบเข้าแล้ว
แนวทางจัดการเมื่อพบลักษณะอาการ หรือพบการระบาดของหนอนชอนใบแล้ว ของชมรมเกษตรปลอดสารพิษ จะใช้ชีวินทรีย์ “บีทีชีวภาพ” ซึ่งเป็นชีวินทรีย์ที่เป็นปฏิปักษ์ โดยตรงกับหนอนเกือบทุกชนิด เป็นตัวจัดการกับหนอนชอนใบมะนาว หลักการทำงานขอเชื้อบีทีชีวภาพ เมื่อหนอนกินสปอร์ของเชื้อบีทีชีวภาพซึมเข้าไปสู่กระเพาะของหนอน เมื่อโปรตีนถูกย่อยจะมีสภาพเป็นพิษทำลายผนังกระเพาะอาหารของหนอน ผนังเซลล์ถูกทำลายเกิดเป็นรู อาหารของเหลวและน้ำย่อยไหลเข้าสู่ลำตัวหนอนทำให้หนอนตายในที่สุด แต่เกษตรบางรายที่เป็นคอยาเคมีฆ่าแมลงก็ยังมีข้อสงสัยว่า กว่าที่หนอนจะตายต้องใช้เวลา 3-4 วันช่วงระหว่างที่รอหนอนตายมันก็กินใบมะนาวจนเสียหายไปเยอะแล้ว ซึ่งความเข้าใจแบบนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิดครับ หลังจากที่หนอนกินเชื้อบีทีเข้าไปแล้วจะค่อยๆแสดงอาการป่วย เหมือนกับคนที่เวลาป่วยไม่อยากกินอะไรทั้งนั้นอยากจะนอนอย่างเดียว หนอนที่เริ่มป่วยการกินอาหาร การทำลายจะหยุด stop ทันทีแต่แค่ยังไม่ตายให้เห็นให้เกษตรกรชื่นใจก็เท่านั้นเอง

วิธีการใช้ เชื้อบีทีชีวภาพนั้น กรณีที่ใช้เลย(ไม่ต้องหมัก) ให้ใช้อัตรา เชื้อบีทีชีวภาพ 50-100 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร หรือจะหมักขยายเชื้อด้วยวิธีต่างๆก็ได้(สูตรหมักดูที่ผลิตภัณฑ์)ฉีดพ่นทุก 3 วันในกรณีที่หนอนระบาดอย่างรุนแรง หรือถ้าใช้ป้องกันก็ฉีดพ่นทุก 7 วัน เพื่อให้เชื้อบีทีค่อยเป็นเสมือน ร.ป.ภ. ค่อยเฝ้าต้นหรือใบมะนาวไว้ไม่ให้หนอนมารบกวนได้ เพียงเท่านี้ปัญหาเรื่องหนอนชอนใบมะนาว ของท่านๆก็จะไม่มีมารบกวนอีกแล้ว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่คุณจตุโชค จันทรภูมี(ผู้เขียน) โทร.085-9205846 หรือติดต่อไปที่เบอร์ HOTLINE สายด่วยของทางชมรมเกษตรปลอดสารพิษได้ที่เบอร์ 084-5554205 ถึง 084-5554209

เขียนและรายงานโดย : นายจตุโชค จันทรภูมี (นักวิชาการ)

ป้องกันกำจัดหนอนชอนใบมะนาว ตอนที่1 การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ

15 ก.ค.

ในช่วงระยะเวลา ปีถึงสองปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่ามะนาวเป็นพืชที่คนไทยนิยมปลูกกันมาก สาเหตุส่วนใหญ่อาจเป็นเพราะราคาของมะนาวที่ดึงดูดให้คนหันมาปลูกกันอย่างแพร่หลาย ราคาในท้องตลาดดี-ดีมากทั้งปียิ่งในช่วงหน้าแล้ง(มีนาคม-เมษายน) มะนาวจะราคาสูงที่สุด ผู้ใดสามารถ บังคับให้มะนาวออกได้ในช่วงนี้ก็รับทรัพย์กันไปถ้วนหน้า แต่ราคาผลผลิตของมะนาวที่สูงต้องแลกมาด้วยความยากลำบากในการดูแล ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆหมูๆ เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า ถ้าไม่เซียนจริงๆปลูกมะนาวไม่ได้ ซึ่งก็เป็นคำกล่าวที่น่าจะจริง สั่งเหตุจากผู้ที่เริ่มปลูกมะนาวใหม่ๆยังไม่มีความรู้เรื่องการดูแลมะนาว เช่นเรื่องโรคและแมลงของมะนาว ว่ามีอะไรบ้าง วิธีแก้ปัญหาต้องทำยังไง ทำให้มะนาวไม่เจริญเติบโตจนอาจถึงตายได้
ปัญหาเรื่องโรคแมลงของมะนาวที่ต้องเจอ ยิ่งในช่วงฤดูฝนด้วยแล้ว หนีไม่พ้นปัญหาเรื่องโรคแคงเกอร์และหนอนชอนใบมะนาว สั่งเกตุได้จากโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาปรึกษาปัญหาของโรคมะนาวของผู้ปลูกมะนาวรายใหม่ๆ กับทางนักวิชาการของชมรมเกษตรปลอดสารพิษในแต่ละวัน จะหนักไปทางเรื่องหนอนชอนใบมะนาวด้วยซ้ำ ทางผู้เขียนจึงอยากนำเสนอแนวทางการป้องกันเรื่องหนอนชอนใบมะนาวให้กับผู้ที่ปลูกมะนาวทั้งเซียนมะนาวและผู้ปลูกมะนาวรายใหม่ๆได้รับทราบข้อมูลเพื่อนำไปปรับใช้ในแปลงมะนาวของตัวท่านเองได้

ก่อนอื่นเรามาทราบถึงสาเหตุของหนอนชอนใบกันก่อน หนอนชอนใบ จะทำความเสียหายให้กับมะนาวในระยะแตก ใบอ่อน โดยจะชอนไชกัดกินอยู่ระหว่างผิวใบด้านหน้าและหลังใบ จะมอง เห็นเป็นทางสีขาวคดเคี้ยวไปมา ใบหงิกงอ ขอบใบม้วนเข้าหาเส้นกลางใบ และใบไม่เจริญเติบโต ต้นมะนาวจะแคระแกร็น จะพบการระบาดมากในช่วงฤดูฝน สาเหตุของหนอนชอนใบมาจากผีเสื้อกลางคืนเข้ามาวางไข่ แล้วไข่ฟักเป็นตัวหนอนค่อยกัดกินใบของมะนาว

แนวทางการป้องกันในแบบชมรมเกษตรปลอดสารพิษ จะเน้นไปที่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือการจัดการกับตัวผีเสื้อกลางคืนเป็นหลัก เพราะแนวคิดของทางชมรมเกษตรปลอดสารพิษคิดว่า ถ้าไม่มีผีเสื้อกลางคืนมาไข่แล้วจะมีหนอนหนอนใบเกิดขึ้นได้เยี่ยงไร(ทานผู้อ่านคิดว่าจริงมั้ยครับ?) โดยวิธีการป้องกันผีเสื้อกลางคืนไม่ให้เข้ามานั้นทางผู้เขียนแนะนำให้ใช้ผงสมุนไพรรวมที่ชื่อ ไทเกอร์เฮิร์บ ซึ่งผงสมุนไพรไทเกอร์เฮิร์บ เป็นผลิตภัณฑ์ที่รวมผงสมุนไพรที่มีสรรพคุณที่มีกลิ่นเหม็นกลิ่นฉุนเกือบ 10 ชนิดมาผสมรวมกัน มีคุณสมบัติในเรื่องการส่งกลิ่นเหม็น เมื่อเราฉีดผงสมุนไพรไทเกอร์เฮิร์บไปในต้นมะนาวแล้วจะทำให้มะนาวมีกลิ่นฉุนของสมุนไพรที่ผีเสื้อกลางคืนไม่ชอบและไม่เข้ามาวางไข่ในต้นหรือแปลงมะนาวของเราๆท่าน เมื่อไม่มีผีเสื้อกลางคืนเข้ามา ก็ไม่มีหนอน ถูกต้องมั้ยครับ

วิธีใช้และอัตราผสมไทเกอร์เฮิร์บ

1. น้ำ 20 ลิตร

2. ไทเกอร์เฮิร์บ 50 กรัม

ฉีดพ่นให้เปียกชุ่มโชกทั่วทั้งต้นมะนาว (ในกรณีที่มีฝนตกหลังจากฉีดควรฉีดใหม่ในวันต่อไป) ระยะเวลาการฉีดพ่นป้องกันทุก 3-7 วันครั้ง เพียงเท่านี้ปัญหาเรื่องหนอนช่อนใบก็จะเบาลงไปได้เกือบ 70-80% เลยทีเดียว ในตอนหน้าจะมาแนะนำต่อในตอนที่หนอนชอนใบระบาดแล้วหรือระบาดอย่างหนัก ว่าต้องป้องกันกำจัดแบบใด โปรดติดตามครับ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่คุณจตุโชค จันทรภูมี(ผู้เขียน) โทร.085-9205846 หรือติดต่อไปที่เบอร์ HOTLINE สายด่วนของทางชมรมเกษตรปลอดสารพิษที่เบอร์ 084-5554205 ถึง 084-5554209 ได้ทุกวัน

เขียนและรายงานโดย : คุณจตุโชค จันทรภูมี (นักวิชาการ)

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com