Archive | มิถุนายน, 2015

ถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องภัยแล้ง ต้องขอแรงสารอุ้มน้ำโพลิเมอร์นะครับ

30 มิ.ย.

ถึงแม้ว่าจะประเทศไทยเราในห้วงช่วงนี้จะได้รับอิทธิพลจากพายุ “คูจิระ” ที่พัดพาดผ่านทางตะวันออกของไทยเราเข้าไปหาจีน จนได้น้ำฝนโปรยปรายลงมาบ้างในบางพื้นที่ แต่ถ้ามองแบบองค์รวมทั่วทั้งประเทศ ไทยเราก็จะยังคงมีปัญหาในเรื่องของภัยแล้งที่กำลังก่อร่างสร้างปัญหาให้กับพ่อแม่พี่น้องเกษตรกรไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ไม่ว่าจะเป็นนาข้าว ไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง พืชผัก ผลไม้ต่างๆ ที่ขาดน้ำยืนต้นตายไปมากต่อมาก ถึงแม้ว่าท่านนายกประยุทธ์จะออกมาช่วยให้มีการขุดบ่อน้ำบาดาลเพิ่มขึ้นมาอีกกว่า พันแห่ง แต่ดูแล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะเพียงพอกับความต้องการหรือไม่ และที่สำคัญถ้าวิดหรือสูบน้ำขึ้นมาพร้อมๆ กันทั้งประเทศ น้ำใต้ดินก็จะรับไหวไปได้สักกี่วัน เพราะเมื่อแล้งที่แล้วก็วิดขึ้นมาได้ไม่กี่วันน้ำใต้ดินก็แห้ง ลดระดับต่ำกว่าท่อที่ปักลงไป
ต้นไม้หรือพืชที่กำลังยืนต้นตายนั้น ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งนะครับ นอกจากการเตรียมการรับมือด้วยการรอรัฐบาล หรือการทำสระน้ำประจำไร่นาส่วนตัวของตนเอง นั่นก็คือการใช้ “สารอุ้มน้ำโพลิเมอร์” (Polymer) ในอัตรา 1 กิโลกรัมแช่ในน้ำที่ใส่ถัง 200 ลิตร นานประมาณ 3 ชั่วโมงหรือหนึ่งคืน สารอุ้มน้ำโพลิเมอร์จะค่อยดูดน้ำเข้ามากักเก็บในตนเองและพองขยายตัวได้มากถึง 200 – 400 เท่า ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำในแต่ละท้องถิ่น แต่ทีแน่ๆ นั้น โดยประมาณ 200 ลิตรก็น่าจะดูดเข้ามากักเก็บและพองตัวได้อย่างสบาย

หลังจากที่เตรียมสารอุ้มน้ำโพลิเมอร์เรียบร้อยแล้ว ให้นำไปโปรยโรยหว่านในแปลงนาที่ต้นกล้าหรือข้าวกำลังขาดน้ำ หรือในไร่อ้อยไร่มันก็ให้ใช้ผานหรือไถสิ่ว (Ripper) ทำการไถแหวกร่องแล้วนำ สารอุ้มน้ำโพลิเมอร์ หว่านโปรยลงไปตลอดแนวร่อง แล้วทำการกลบฝังให้เรียบร้อย อ้อยก็จะมีน้ำประทังชีวิตของเข้าไปได้ตลอดรอดผ่านหน้าแล้งได้ หรือถ้าเป็นไม้ผลไม้ยืนต้นก็จะใช้วิธีการขุดหลุมขนาด 50 x 50 x 50 ไว้ข้างๆ ลำต้น อาจจะขุดสักหลุมสองหลุมก็ขึ้นอยู่กับขนาดของทรงพุ่มหรือลำต้นนะครับ เอาให้พอเหมาะพอดี แล้วนำมา สารอุ้มน้ำโพลิเมอร์ ใส่ลงไปในหลุมแล้วกลบฝัง ทำแบบนี้ก็จะช่วยให้ไม้ผลไม้ยืนต้นต่างๆ รอดพ้นจากการขาดน้ำได้เช่นเดียวกัน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ปรึกษากับเจ้าหน้าที่ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ เรื่องเกษตรปลอดสารพิษ ให้คิดถึงเรานะครับ โทร. 02 986 1680 – 2

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

ปัญหาดินเสื่อมโทรมเพราะโหมใช้แต่ปุ๋ยเคมี

29 มิ.ย.

หลายๆท่านอาจจะแปลกใจในหัวข้อที่นำมาเขียนในครั้งนี้ ในเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้ปุ๋ยแล้วดินจะเสื่อมโทรมลงได้อย่างไร น่าจะยิ่งใส่ก็ยิ่งดี พืชหรือต้นไม้น่าจะเจริญเติบโตงอกงามได้ดียิ่งขึ้น ถ้าคิดไปอย่างนี้ก็ต้องขอบอกเอาไว้เลยนะครับ ว่าควรจะต้องไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมให้มากยิ่งขึ้น เพราะการใช้ปุ๋ยเคมีแต่เพียงอย่างเดียวซ้ำๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานนั้น มักจะทำให้ดินแน่นแข็ง เป็นกรด พอดินเป็นกรดแล้วนี่ ไม่ว่าจะเสริม เพิ่มเติมปุ๋ยลงไปอีกกี่กิโลฯ กี่กระสอบ พืชก็ไม่ตอบสนองทั้งนั้น สรุปก็คือยิ่งใส่ยิ่งเปลืองไร้ประโยชน์
ปุ๋ยที่ใส่เสริมเพิ่มลงไปในดินก็จะถูกดินนั้นบล็อกและตรึงเอาไว้ ไม่สามารถออกมาเป็นประโยชน์ต่อรากพืชดูดกินนำไปกระจายไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ทั้งกิ่ง ก้าน ใบและลำต้นได้ ดินที่เป็นกรดเนื่องด้วยใช้ปุ๋ยเคมีมาเป็นระยะเวลานาน จะจับตรึงแร่ธาตุฟอสฟอรัส ปลดปล่อยไนโตรเจนให้สูญสลายหายไปกับอากาศโดยง่าย และจะละลายกลุ่มของจุลธาตุบางตัว อย่างเช่น เหล็ก ทองแดง แมงกานีส ออกมามากเสียจนเป็นพิษกับต้นพืช บางครั้งก็ทำให้พืชแสดงอาการใบไหม้ได้

ที่เขียนมาอย่างนี้ก็เพียงต้องการให้ท่านผู้อ่านพี่น้องเกษตรกรควรจะต้องมีความระมัดระวังในเรื่องการใช้ปุ๋ยเคมี ทางที่ดีนี่ควรจะต้องใช้ร่วมกับปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก เพื่อให้เป็นสื่อนำไส้เดือนจุลินทรีย์ แอคทิโนมัยซีท มัยคอร์รัยซ่า โปรโตซัว ยีสต์ รา มาช่วยกันย่อยสลาย เศษซากส่วนเกินไม่ให้ตกค้างอยู่ในดินจนมากมายเกินไป ซึ่งจะช่วยทำให้โครงสร้างและคุณสมบัติทางเคมีของดินนั้นไม่เสีย ไม่แน่น ไม่แข็ง ไม่เป็นกรด สรุปก็คืออย่าใช้ปุ๋ยเคมีแต่เพียงอย่างเดียว ต้องใช้ไปพร้อมๆ กันกับปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกนะครับ และที่สำคัญนั้นช่วยให้ท่านผู้อ่านและพี่น้องเกษตรกรไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทุนในการซื้อปุ๋ยเคมีจนมากเกินไป

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

แตงกวากับปัญหาดอกหลุดร่วงง่าย

26 มิ.ย.

ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่หฤโหดไม่แพ้ปีที่แล้วเกี่ยวกับเรื่องน้ำเรื่องท่า เพราะภาครัฐก็ค่อนข้างเข้มงวดตรวจตราไม่ให้น้ำนั้นถูกนำไปใช้ในระหว่างที่มีมาตรการประหยัดน้ำท่ามกลางภาวะความแห้งแล้งที่หนักสุดในรอบ 5 ปี ปีนี้ดูแล้วหนักกว่าปีที่แล้วอีกนะครับ น้ำในเขื่อนหลักๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเขื่อน ภูมิพล เขื่อนสิริกิตต์ เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนวชิราลงกรณ์ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนสิรินธรณ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนขุนด่านปราการชล ฯลฯ ต่างก็มีน้ำสำรองไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ จึงเป็นปัญหาให้พี่น้องเกษตรกรส่วนหนึ่งต้องหันไปพึ่งพิงพืชชนิดอื่นๆ แทนการปลูกข้าวทำนา
หนึ่งในพืชอื่นๆ ก็มีแตงกวา โดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลางนั้นก็จะปลูกกันอยู่มากนะครับ ปลูกแล้วก็อดจะมีปัญหามาถามไถ่ให้เจ้าหน้าที่ชมรมฯ ได้เข้าไปช่วยดูแลแก้ไข โดยเฉพาะในเรื่องของการติดดอกออกผลแล้วมีปัญหาดอกและผลหลุดร่วงหล่นลงมาง่าย ไม่ยอมติด ทำให้ต้องเสียโอกาสในการที่จะนำผลผลิตออกไปขายหรือจำหน่ายให้พ่อค้าในท้องที่

สาเหตุส่วนหนึ่งของแตงกวาที่มักจะมีดอกที่หลุดร่วงง่ายผิดปรกตินั้น ก็อาจจะมีสาเหตุมาจากดินที่ผ่านการใช้งานมานานหลายสิบปี และมีแต่การใช้ปุ๋ยธาตุหลักเพียงอย่างเดียว จึงทำให้การสะสมแร่ธาตุสารอาหารในกลุ่มธาตุรองธาตุเสริมนั้นไม่เพียงพอ อีกอย่างหนึ่งก็ในเรื่องของน้ำถ้าน้ำไม่เพียงพอก็มีปัญหาเรื่องดอกและผลอ่อนหลุดร่วงง่ายเช่นเดียวกัน

วิธีการดูแลแก้ไขในเบื้องต้น ควรนำหินแร่ภูเขาไฟ พูมิชซัลเฟอร์ (Pumish Sulpher) ไปหว่านโรยรอบทรงพุ่มหรือโคนต้นเพิ่มเติมเสริมธาตุรองธาตุเสริมให้แก่แตงกวาให้เพียงพอ ให้รากของเขาสามารถที่จะดูดกินได้อย่างสม่ำเสมอเมื่อต้องการ และควรกระตุ้นด้วยการใช้ ซิลิโคเทรซ (ธาตุอาหารเสริมทางใบ) ในอัตรา 5 กรัมร่วมกับ ไคโตซานMT 5 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตรฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน ก็จะสามารถช่วยลดการหลุดร่วงของดอกและผลอ่อนของแตงกวาไม่เสียหายจนมากเกินไปได้ ในส่วนของเรื่องน้ำที่ต้องคอยดูแลอย่าให้ขาดด้วยเช่นกัน ก็ควรใช้สารอุ้มน้ำ “โพลิเมอร์” ในอัตรา 1 กิโลกรัม แล้วนำไปแช่น้ำสะอาด อีก 200 ลิตร ทิ้งไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง หรือหนึ่งคืน รุ่งเช้าก็นำมากลบฝังข้างหลุมปลูก ก็จะช่วยแก้ไขแตงกวาขาดนขาดน้ำได้ และวิธีเดียวกันนี้ก็ยังสามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้กับพืชอื่นๆได้เช่นเดียวกันนะครับ

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

ลดเมล็ดพันธุ์ปลูกข้าวให้เหลือน้อย ไม่ต้องคอยปราบโรคแมลงไม่แพงต้นทุน

25 มิ.ย.

สถานการณ์น้ำในปีนี้ก็ยังมีปัญหาเรื่องของความแห้งแล้ง จนกรมชลประทานต้องมีนโยบายงดการปล่อยน้ำทำนาแก่พี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าว หรืออีกทางหนึ่งก็คือประกาศให้ชาวนาหยุดทำนา เพราะปริมาณน้ำในเขื่อนหลักๆ ของประเทศมีน้ำต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน และน้อยกว่าทุกๆ ปี เรียกว่าลดน้อยถอยลงมาเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าในอีกสี่ส้าห้าปีข้างหน้านั้น จะเกิดสงครามน้ำแย่งชิงน้ำกันหรือไม่ ถ้ายังปล่อยให้มีการตัดไม้ทำลาย ถากถางป่าเพื่อปลูกพืชไร่ทดแทน ป่าไม้ยืนต้น ที่มีระบบรากหยั่งลึกชอนไชได้มากกว่าพืชไร่หลายร้อยหลายพันเท่า จึงช่วยทำให้หน้าดินของป่าไม้ยืนต้นมีความสามารถกักเก็บอุ้มน้ำความชุ่มชื้นได้ดีกว่า พืชไร่อย่าง อ้อย ข้าวโพด มันและข้าวไร่ มากมายมหาศาล
จะอย่างไรก็ตามในห้วงช่วงนี้ก็มีพายุฝนฟ้าเข้ามาตกในพื้นที่บ้านเราอยู่หลายครั้งเหมือนกัน พี่น้องเกษตรกรทำนาไม่ว่าจะหน้าแดงหน้าดำเพราะไม่มีน้ำทำนา ก็คิดว่าจะอย่างไรก็คงจะต้องคราด ไถ หว่าน ดำ ทำนาในอีกไม่ช้า เพราะถือว่าเป็นอาชีพเดียวที่คุ้นเคยมั่นใจ มีความชำนิชำนาญผ่านการฝึกปรือมาช้านาน จะเพาะจะปลูกเมื่อไรก็ได้ขอให้มีน้ำเป็นพอ ซึ่งอันนี้ก็เป็นเรื่องจริงนะครับท่านผู้อ่าน ในเรื่องทีว่าพี่น้องเกษตรกรไทยเรานั้นมีความเก่งเป็นทุนเดิมอย่าแน้แท้ เคยไปพูดไปคุยกับชาวนาบางท่านก็เคยให้ข้อมูลว่า “จะเพาะจะปลูกให้ปลอดภัยไร้สารพิษ เป็นข้าวอินทรงอินทรีย์” นั้นเขาไม่มีปัญหา หรือจะให้ “กางมุ้ง” ด้วยก็ยังได้ แต่ขอเพียงเพิ่มราคาสักหมื่นห้าหรือสองหมื่นแบบเต็มๆ ไม่หักโน่น หักนี่ จะได้ไหม ถ้าให้ได้ตามเงื่อนไข เรื่องปลูกป้อนตลาดตามต้องการก็ไม่มีปัญหา
แต่อย่างว่าล่ะครับชาวนาไทยไม่ไคร่จะมีใครให้ความสำคัญใส่ใจ นานๆจะมีนโยบายเอามาส่งเอาให้เขาก็ผลักไสไล่ส่งไม่มาถึงมือง่ายๆ โดยอ้างว่ามีเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นมีการฮั้วกัน แต่ไม่ยอมตรวจสอบและแก้ไขโดยปล่อยให้นโยบายนั้นดำเนินต่อไป เพราะกลัวว่าจะสูญเสียเงินงบประมาณปีหนึ่งหลายหมื่นหลายแสนล้านบาทแบบเปล่าประโยชน์ หรืออาจจะกลัวมีเงินสำรองไม่เพียงพอเอาไว้อุ้มเศรษฐีนายทุนที่จะล้มบนฟูกอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้
อย่างว่าแหละครับ ศักดิ์ศรีชาวนาไทยในความเป็น “กระดูดสันหลังของชาติ” ที่แข็งแกร่งก็ต้องช่วยเหลือตนเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตามหลักพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ” ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน นั้นน่าจะดีที่สุด จะอย่างไรก็ตามนะครับท่านผู้อ่าน การลดต้นทุนด้วยการลดเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูกให้เหลือเพียง 5 – 10 กิโลกรัมต่อไร่นั้นสามารถเพาะปลูกให้ได้ 100 ถัง หรือหนึ่งเกวียนได้ไม่ยากนะครับ และที่สำคัญการใช้เมล็ดพันธุ์น้อย ก็ช่วยลดปริมาณการใส่ปุ๋ย ระยะห่างระหว่างต้นที่บางเบาไม่หนาแน่นแออัดก็ลดการหมักหมมอมเชื้อโรคแมลงที่จะเข้ามาหลบอาศัย ก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองยาฆ่าหนอน แมลง เพลี้ย รา และไร ลงไปได้มาก สนอกสนใจข้อมูลเพิ่มเติม อย่าลืมนะครับ เรื่องเกษตรปลอดสารพิษ ให้คิดถึงเรา โทร. 02 986 1680 – 2

มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

บทความเกษตร Mont 20150623 ดูแลแก้ปัญหามะนาวแบบปลอดภัยไร้สารพิษ

24 มิ.ย.

ถ้าพูดถึงเรื่องมะนาวในห้วงช่วงนี้ก็ยังไม่ถือว่าล้าสมัย ตรงกันข้ามกับยังมีผู้ที่ให้ความสนใจใคร่รู้ติดตามถามข่าวกันอยู่ค่อนข้างมาก ทางนิตยสารไม่ลองไม่รู้ ของ บริษัทนาคาอินเตอร์มิเดีย ก็มีการจัดพิมพ์ซีรี่ย์เกี่ยวกับมะนาวไปแทบจะเรียกได้ว่า ทุกมิติของศาตร์ที่เกี่ยวกับมะนาว และก็ถือว่าเป็นความโชคดีที่ทางทีมงานบริษัทเขาให้โอกาสชมรมเกษตรปลอดสารพิษได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องเทคนิคการทำให้มะนาวติดดอกออกผในห้วงที่ต้องการในรูปแบบที่ไม่ใช้สารเคมีบังคับ ให้เขียนโดยใช้เทคนิคที่ปลอดภัยไร้สารพิษ เป็นรูปแบบที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งเนื้อหาก็จะอยู่ในเล่มที่ชื่อว่า “หลากวิธีการบังคับมะนาวนอกฤดู เล่ม 2” และก็มีผู้อ่านที่ให้ความสนใจใคร่รู้เป็นพิเศษอีกค่อนข้างมากได้โทรศัพท์ติดต่อสอบถามขอข้อมูลเพิ่มเติมมายังชมรมเกษตรปลอดสารพิษ เพื่อสอบถามขอรายละเอียดเพิ่มเติมนำไปเสริมให้การปลูกมะนาวแบบปลอดภัยไร้สารพิษทำได้เป็นรูปธรรมนำมาซึ่งความสำเร็จกันหลายสวนเลยทีเดียว
หลังจากนั้นก็ได้รับความไว้วางใจจากทางนิตยสารเล่มดังกล่าวอีกให้เขียนเกี่ยวกับเรื่องของ การดูแลแก้ปัญหาโรคแมลงศัตรูของมะนาว ในรูปแบบที่ไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่เป็นอันตราย มีสารพิษตกค้าง อันนี้ถ้าท่านผู้อ่านอยากจะไปติดตามถามไถ่ในเนื้อหาเพิ่มเติม ก็ต้องลองไปอ่านเล่มที่ชื่อว่า “มะนาวปลอดภัยด้วยเคมี&ชีวภาพ ฉบับชาวบ้าน” ซึ่งก็ทำให้พี่น้องเกษตรกรอีกหลากลายที่เคยชินกับวิธีการปลูกพืชแบบเก่า แบบที่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเท่านั้น ได้มีทางเลือกได้มีช่องทางที่สามารถรับรู้ได้ว่า การดูแลรักษาโรคแมลงศัตรูพืชของมะนาวนั้น ก็สามารถที่จะไม่ต้องใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายแต่เพียงอย่างเดียวได้ สามารถที่จะใช้สมุนไพร ใช้จุลินทรีย์ ใช้สารสกัด ใช้หลักการทำให้แข็งแกร่ง จากแหล่งของหินแร่ภูเขาไฟ และแนวทางอื่นๆ อีกมากมายที่บริษัท นาคาอินเตอร์มิเดีย ได้นำมาสรรค์สร้างให้ท่านผู้อ่านโดยเฉพาะแฟนๆที่นิยมชมชอบการปลูกมะนาวได้รับกันอย่างเต็มอิ่มการปลูกมะนาวนั้นไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปนะครับ ถ้าเราพร้อมที่จะยอมรับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ล้วนผ่านไปและผ่านมาให้มนุษย์ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงถ้วนทั่วทุกตัวตน เพราะโลกปัจจุบันนั้นเป็นโลกอินเทอร์เน็ต เป็นโลกแห่งโซเชียลเน็ทเวิร์ค เป็นการออนไลน์ เพียงแต่พี่น้องเกษตรกรเปิดใจ ขวนขวายหาความรู้ และนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ แยกแยะให้ชัดเจน ก็สามารถที่จะฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคได้ไม่ยาก และมีโอกาสที่จะถูกหลอกจากข้อมูลข่าวสารที่มีปริมาณมากมายมหาศาลได้ไม่ยาก และที่สำคัญจะช่วยทำให้เรามีสติปัญญาที่แหลมคม ได้ประสบพบเจอสิ่งใหม่ๆ นำมาใช้ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในภาคการเกษตรได้อย่างอยู่รอดปลอดภัยในสังคมปัจจุบัน

มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

โปรตีนในอาหารกุ้งสูงมาก กุ้งย่อยไม่หมดเกิดแก๊สของเสีย

23 มิ.ย.

การเลี้ยงกุ้งในบ้านเรานั้นดูเงียบเหงาซบเซามาหลายปี ตั้งแต่หลังจากเหตการณ์ ไนท์วันวัน (911) ที่สมุนของบิลลาเดน กลุ่มอัลกออิดะห์ได้บังคับให้เครื่องบินโดยสารมุ่งหน้าไปชนตึกเวิลด์เทรดของประเทศอเมริกา ทำให้ตึกแฝดที่เป็นเอกลักษณ์ของอเมริกานั้นสูญสลายหายไปจากประวัติศาสตร์ทันที หลังจากวันนั้น 11 กันยายน 2544 จนถึงวันนี้สถานการณ์กุ้งในบ้านเราก็ยังไม่ถือว่ารุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาลย์เหมือนกับห้วงช่วงปี 2537 – 2542 ซึ่งขณะนั้นไม่ว่าจะพื้นที่ภูมิภาคไหนที่เป็นเขตเลี้ยงกุ้ง จะมีใบพัดตีน้ำพัดตีละออกน้ำออกมากระเซ็นเส้นสายกระทบกับประกายแดดไปทั่วทั้งพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น อ. แหลมสิงห์ จังหวัดตราด อ. แกลง จ. ระยอง อ. บางน้ำเปรี้ยว และอีกหลายอำเภอใน จ. ฉะเชิงเทรา อ. พาน จ. ชลบรี อ. สามร้อยยอด อ. กุยบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช อ. ปากพนัง สิชล อ. ระโนด สงขลา จ. พังงา จ. กระบี่ ย้อนขึ้นมาแม้แต่โซนภาคกลางที่ในขณะนั้นไม่น่าเชื่อว่าจะมีกุ้งกุลาดำ ซึ่งถือว่าเป็นกุ้งน้ำเค็มจะมีการเลี้ยงได้ ทั้ง อ. บ้านแพ้ว จ. สมุทรสาคร อ. บางเลน จ. นครปฐม อ. สองพี่น้อง จ. สุพรรณบุรี ในพื้นที่นี้จะเรียกว่า “กุ้ง” บูมหรือไม่บูมก็มีข่าวให้ นายบรรหาร ศิลปะอาชา นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นต้องออกมาหย่าศึกระหว่างนากุ้ง กับนาข้าวของพี่น้องเกษตรกรที่มีปัญหาเรื่องของน้ำเค็มจากบ่อกุ้งปล่อยออกมารบกวนการปลูกข้าวทำนาของเกษตรกรท้องถิ่นกันเลยเชียวแหละ
ที่ตลาดกุ้งเงียบเหงาตั้งแต่เหตุการณ์ ไนท์วันวัน นั้นก็เพราะว่าตลาดใหญ่ของบ้านเราที่นำเข้ากุ้งกุลาดำเป็นอันดับต้นๆของโลกนั้นก็คือ ยุโรป อเมริกา และก็ญี่ปุ่น เมื่อเหตุการณ์ก่อการร้ายเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด จึงทำให้ฝรั่งตาน้ำข้าวไม่ว่าจะเป็นยุโรป อเมริกา ก็หวาดผวาไม่กล้าให้ผู้คนชนทั่วโลกเดินทางเข้าออกหรือแม้แต่การนำเข้าสินค้าเกือบทุกชนิดก็ต้องมีมาตรการที่เข้มงวด เพราะยังมีปัญหาในเรื่องของเชื้อโรค แอนแทรกซ์ ที่แอบใส่ในซองจดหมาย เมื่อใครเปิดอ่านก็จะได้รับเชื้อเจ็บป่วยตายโดยไร้ยารักษา ยิ่งทำให้โลกๆ ทั้งโลกตกอยู่ในความหวาดกลัวมาตลอด เพิ่งจะคลี่คลายก็ไม่นานมานี่เอง

หลังจากนั้นเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในบ้านเราก็เริ่มมาให้ความสนใจในเรื่องของการเลี้ยงกุ้งขาว แวนาไม ที่สร้างรายได้ดี โตเร็ว เลี้ยงง่าย แต่อย่างว่าพอเลี้ยงมาได้สักระยะก็มีปัญหาในเรื่องของโรคตายด่วน (EMS [Early Mortality Syndrome]) โรคนี้สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่ผู้เลี้ยงกุ้งทั่วโลกนะครับ ไม่ใช่ว่ามีแต่ในบ้านเราบ้านเดียว ปัจจุบันโรคตายด่วนนี้ก็ยังสร้างปัญหาให้กับประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซียม และอินเดีย ล่าสุดนั้น อเมริกามีการตีกลับกุ้งจากเวียดนาม และอินเดียว เนื่องด้วยมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค จึงทำให้น่าจะเป็นโอกาสอีกครั้งหนึ่งของพีน้องเกษตรกรของไทยเราที่ถ้าสามารถเลี้ยงกุ้งให้ผ่านได้ก็น่าจะทำตัวเลขการส่งออกมากขึ้น แต่เดิมเมื่อปีสองปีที่แล้วมีตัวเลขเพียงห้าถึงหกหมื่นตัน แต่มาปีนี้เห็นแว่วๆว่าเขาจะทำกันหื้ได้มากถึง 300,000 ตันทีเดียวเชียวล่ะครับ

จากนโยบายของรัฐบาล คสช. ที่ให้งบประมาณให้ทางกรมประมงไปปรับปรุงนำเข้าพ่อพันธุ์แม่พันธุ์จากต่างประเทศมาเพาะเลี้ยงแล้วจำหน่ายจ่ายแจกพันธุ์ที่ปลอดเชื้อไปสู่พี่น้องเกษตรกรปีละประมาณ 100,000 คู่ จึงทำให้สถานการณ์กุ้งบ้านเราดูเหมือนว่าจะค่อยๆ ดีขึ้น ประกอบกับการเลี้ยงแบบเข้าใจในธรรมชาติและเน้นในเรื่องของการทำแบบปลอดสารพิษ คือไม่ใช่ยา ไม่ใช้ปูน แต่ใช้หินแร่ภูเขาไฟ (สเม็คโตไทต์ Smectotite, สเม็คไทต์ Smectite , ไคลน็อพติโลไลท์ Clinoptilolite) ช่วยในการจับแก๊สของเสียที่พื้นบ่อ และการใช้กลุ่มของบาซิลลัส MT (Bacillus Subthilis ssp) โดยเฉพาะกลุ่มของสมาชิกชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ซึ่งเป็นแฟนคลับเก่าแก่กันมาเกือบยี่สิบปีที่ยังเลี้ยงอยู่รอดกันอยู่ เนื่องด้วยทั้งหินแร่ภูเขาไฟและจุลินทรีย์ที่มีการคัดเลือกอย่างเฉพาะเจาะจงให้มาทำหน้าที่ย่อยกากปลาป่น ข้าวโพด ถั่วเหลืองบด โดยเฉพาะ ให้ก๊าซของเสียมีน้อย ออกซิเจนมากขึ้น อีกทั้งเปอร์เซ็นต์ของโปรตีนในอาหารสัตว์ปัจจุบันมีการแข่งขันกันเพิ่มเปอร์เซ็นให้สูงขึ้นเพื่อโชว์ตัวเลขแข่งขันกันทางด้านตลาด ส่งผลทำให้กุ้ง หอย ปู ปลา เต่า ตะพาบ ไม่สามารถจะย่อยสลายโปรตีนที่หลงเหลือหลังจากขับถ่ายออกมาให้สะอาดหมดจดได้ โปรตีนที่มากเกินความจำเป็นนี้จึงเป็นปัญหาเมื่อตกค้างอยู่ที่พื้นบ่อ บูดเน่า ย่อยสลายกลายเป็นก๊าซแอมโมเนีย ไนไตรท์ ไฮโดรเย่นซัลไฟด์ (ก๊าซไข่เน่า) และมีเทน ทำให้กุ้งปลาหายใจไม่ออก เครียด กินอาหารน้อย โตช้า ภูมิคุ้มกันต่ำ เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย มี่รายงานจากคุณประสิทธิ์ ทรทรัพย์ สมาชิกชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ที่เลี้ยงกุ้งอยู่ที่ อ. กุยบุรี จ. ประจวบคีรีขันธ์ ได้แจ้งว่า ถ้าดูแลรัก๋ษาพื้นบ่อให้สะอาด แม้แต่โรคต่ายด่วนอย่าง EMS ก็ไม่สามารถเข้าทำอันตรายใดๆแก่กุ้งของเขาได้ สนอกสนใจข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 081 398 3128

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

การแก้ปัญหาดินดานแบบยั่งยืน

22 มิ.ย.

ปัญหาเรื่องดินแน่นดินแข็งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรมือสมัครเล่น หรือมืออาชีพก็น่าจะหนีไม่พ้นกันนะครับ เพราะว่าสภาพของเนื้อดินที่ถูกใช้งานไปเป็นเวลานาน อินทรียวัตถุถูกย่อยสูญสลายหายไปตามกาลเวลา สสารจากปุ๋ยเคมีความเป็นกรดจนเข้มข้น ทำให้คุณสมบัติโครงสร้างดินเปลี่ยนแปลง เหลือแต่เพียงอนินทรีย์วัตถุอัดแน่นแทนที่ ไม่มีรูระบายน้ำและอากาศ ทำให้การถ่ายเทด้อยประสิทธิภาพ ต้นไม้แคระแกร็น ต้นเตี้ย ไม่แตกกิ่งก้านสาขา รากขัดสมาธิเป็นวงกลมไม่แตกแยกกระจายออกไปหาอาหารได้อย่างกว้างไกลเหมือนกับต้นไม้ที่ปลูกบนพื้นดินที่เป็นปรกติ
ในเบื้องต้นถ้าจะแก้ปัญหาในเรื่องนี้ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้วยการเติมอินทรียวัตถุก็น่าจะเป็นเรื่องที่ล่าช้าเกินไป ไม่สามารถที่จะทำให้พืชนั้นเจริญเติบโตติดดอกออกผลให้แก่เจ้าของสวนได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เนื่องด้วยว่าดินมีปัญหาดังที่ได้กล่าวมา เพราะการที่ใส่อินทรียวัตถุหรือปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกลงไปเพียงแค่วันสองวัน หรือต่อให้นานเป็นสัปดาห์สองสัปดาห์จุลินทรีย์ไส้เดือนต่างๆ ก็ยังไม่สามารถย่อยสลายให้กลายเป็นปุ๋ยหรือให้มีสภาพของระบบนิเวศน์ที่เหมาะสมได้ในเร็ววัน จึงไม่สามารถช่วยให้ดินจะร่วนซุย โปร่งพรุน ได้รวดเร็วทันใจในทันที เนื่องด้วยกิจกรรมที่ในระบบนิเวศของดินนั้นจะต้องใช้เวลา

แต่ในปัจจุบันนั้นถ้าต้องการความรวดเร็วฉับไวในการแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้า ด้วยการทำให้ดินโปร่งฟูและร่วนซุยแบบฉับพลันทันทีภายในหนึ่งถึงสองสัปดาห์ก็พอจะทำได้อยู่เหมือนกันนะครับ ด้วยการใช้ “สารละลายดินดาน ALS29” ในอัตรา 30 – 50 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร และถ้าจะให้โครงสร้างดินไม่กลับไปแน่นแข็งเหมือนเดิมแบบรวดเร็วก็ควรเพิ่มกลุ่มของ “โพแทสเซียมฮิวเมท” ร่วมไปด้วยอีก 30 – 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรเช่นเดียวกัน ทำการราดรดฉีดพ่นลงไปบนดินที่มีปัญหาแน่นแข็ง ทำแบบนี้เพียงสองสามครั้ง ดินก็จะกลับมาโปร่งฟู ร่วนซุย ช่วยให้รากขยายตัวหาอาหารได้ดีขึ้น หมดปัญหารากขัดสมาธิ ต้นเตี้ย แคระแกร็นอีกต่อไป

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

หมั่นเติมปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกลงสู่แปลง จำแลงให้เหมือนต้นไม้ในป่าเขาลำเนาไพร

19 มิ.ย.

หลังจากที่ทางชมรมเกษตรปลอดสารพิษ มีนโยบายในการรณรงค์ส่งเสริมให้พี่น้องเกษตรกรให้ความสำคัญกับการเติมอินทรียวัตถุปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก ที่หาได้ง่ายๆ ใกล้ตัวจากเศษตอซังฟางข้าว เศษกิ่งไม้ใบหญ้าที่ได้จากการตัดแต่งกิ่ง แล้วนำมาหมักให้เปื่อยยุ่ยผุพังย่อยสลายเร็ว สะดวกทันใจง่ายต่อการใช้งานด้วยการใช้จุลินทรีย์ขี้วัว ขี้ควาย หรือกลุ่มของสัตว์สี่กระเพาะอย่างแพะ แกะ เก้ง กวาง ละอง ละมั่ง จิงโจ้ ซึ่งมูลของสัตว์เคี้ยวเอื้องเหล่านี้มีเอกลักษณ์ที่พิเศษโดดเด่น ในการที่จะย่อยหญ้าหรือเศษฟางให้เปื่อยยุ่ยผุพังได้รวดเร็วขึ้น
การหมั่นเติมปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกลงไปสู่ผืนดินบ่อยๆ ก็เหมือนกับเศษไม้ใบหญ้าในป่าเขาลำเนาไพรที่คอยสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันลงมาทำหน้าที่เป็นปุ๋ยเป็นอาหารให้แก่แมกไม้นานาชนิด เป็นบ้านให้จุลินทรีย์ ไส้เดือน ตัวห้ำตัวเบียน จนดินและระบบนิเวศน์มีความอุดมสมบูรณ์แบบเหมาะเจาะไม่ต้องคอยให้มนุษย์คนใดต้องมารดน้ำใส่ปุ๋ยให้สิ้นเปลืองงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์
ถึงแม้ว่าจะมีท่านสมาชิกบางคนที่กังวลห่วงใยในเรื่องของเชื้อโรคที่อาจจะปนเปื้อนมากับปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก อันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนะครับ ในเมื่อเรารู้ว่าสิ่งมีชีวิตโดยทั่วไปไม่ว่าคน สัตว์ จุลินทรีย์ ถ้ามีกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดมากกว่ากันก็จะไม่ทำให้อีกกลุ่มหนึ่งนั้นเจริญเติบโตเกิดขึ้นมาได้ ดังนั้นถ้าเราใส่สปอร์ของจุลินทรีย์ไตรโคเดอร์ม่าหรือบีเอสพลายแก้ว ซึ่งจุลินทรีย์ทั้งสองชนิดนี้ทำหน้าที่ในการปกป้องเชื้อราโรคพืช ดังนั้นถ้าเราทำการใส่เสริมเติมจุลินทรีย์ชนิดดีที่มีมิตรไมตรีต่อต้นไม้และสิ่งแวดล้อมก็หมดห่วงไปได้เลยว่า เชื้อโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟัยท็อฟทอร่า พิธเทียม สเคอร์โรคเทียม แอสเปอจิรัส เพนนีซีเลี่ยมและเชื้อราโรคพืชตระกูลอื่นๆ อีกมากมายจะมาทำลายระบบนิเวศน์ในดินของแปลงเรือกสวนไร่นาเราได้
หรือบางคนอาจจะกลัวว่าการใส่แต่ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกแล้วจะมีปัญหาที่พืชจะเฝือใบอวบอ้วนอ่อนแอง่ายต่อการเข้าทำลายของโรค แมลง เพลี้ย หนอน ราและไร ซึ่งถ้านำเอากลุ่มของหินแร่ภูเขาไฟซึ่งเป็นหินแร่ธรรมชาติที่มีรูพรุนมหาศาลในการกักเก็บไนโตรเจนส่วนเกินไม่ให้ออกมาสู่พืชมากจนเกินไป การใช้หินแร่ภูเขาไฟในพื้นที่เพาะปลูกร่วมกับปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกก็จะเป็นการเสริมเพิ่มแร่ธาตุและสารอาหารของพืชให้ครบโภชนาการมากยิ่งขึ้น พืชที่นำมาเพาะปลูกในพื้นที่เหล่านี้ก็มีการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์ เพราะได้ทั้ง ธาตุหลัก ธาตุรอง ธาตุเสริมและธาตุพิเศษ ทำให้ผลผลิตที่ออกมาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยในทุกๆรอบการเก็บเกี่ยว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมอย่าลืมนะครับ เรื่องเกษตรปลอดสารพิษ ให้คิดถึงเรา ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ โทร. 02 986 1680 – 2

มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

เพาะเห็ดหน้าร้อน ต้องมีเทคนิค

18 มิ.ย.

เห็ดเป็นสิ่งมีชีวิตในจำพวกราชนิดหนึ่ง ไม่จัดว่าเป็นพืช เนื่องจากไม่มีคลอโรฟิลล์ หรือสารสีเขียวเห็ดไม่สามารถสร้างอาหารได้ด้วยตัวเอง ต้องอาศัยสารอินทรีย์และอนินทรีย์เป็นอาหารจากภายนอกที่เกิดจากการปล่อยน้ำย่อยให้สารดังกล่าวมีอนุภาคที่เล็กลง และง่ายต่อการดูดซับ แต่ปัจจุบันการเพาะเห็ดมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากคนนิยมรับประทานเห็ดเพิ่มขึ้นและตลาดมีความต้องการสูง ประกอบกับมีการนำเทคโนโลยีต่างๆมาใช้มากขึ้น ทำให้สามารถเพาะได้ง่าย กรรมวิธีไม่ยุ่งยาก ใช้อุปกรณ์น้อย ต้นทุนก็ต่ำลง ใช้ระยะเวลาในการเพาะสั้น ที่สำคัญเพาะได้ตลอดทั้งปี อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การเพาะเห็ดได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
สำหรับเห็ดที่คนไทยนิยมเพาะและบริโภคโดยทั่วไป ได้แก่ เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนู เห็ดนางรม ฯลฯ ยิ่งหน้าร้อนอุณหภูมิที่สูงเกือบๆ 40 องศาเซลเซียส ส่งผลให้เห็ดไม่ออกดอก หรือออกก็ปริมาณที่น้อยมากๆ สาเหตุสำคัญมาจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น เพราะปกติอุณหภูมิที่เหมาะกับการเพาะเห็ดในประเทศไทยจะอยู่ระหว่าง 28-35 องศาเซลเซียส ปัญหาเห็ดไม่ออกดอกส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเพาะเห็ดโดยตรง เนื่องจากต้องสูญเสียรายได้ไปกว่าครึ่งและยังส่งผลต่อผู้บริโภคด้วยเพราะเห็ดในตลาดมีจำนวนน้อยลง ราคาปรับก็สูงขึ้น
เทคนิคหรือเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆบางครั้งก็มีความจำเป็น การดูแลรักษาเห็ดให้ออกดอกในช่วงหน้าร้อน ก่อนอื่นต้องรักษาอุณหภูมิในโรงเรือนให้ได้ประมาณ 28–30 องศาเซลเซียส ความชื้นในโรงเรือนไม่ควรต่ำกว่า 80% การให้น้ำควรให้ถี่กว่าช่วงปกติจากวันละ 2-3 ครั้ง เป็นวันละ 4-5 ครั้ง หรือทุก 4 ชั่วโมง โดยไม่ต้องให้น้ำเยอะให้รดบางๆผ่านหน้าก้อนก็พอ จะให้ดีตอนกลางคืนอีกรอบหนึ่งเพราะหน้าร้อนตอนกลางคืนอากาศจะร้อนกว่าปกติ และเห็ดจะต้องการน้ำเป็นอย่างมาก และอีกอย่างตอนกลางคืนควรดึงผ้าใบ หรือเปิดช่องระบายให้อากาศได้ถ่ายเท ไม่ให้โรงเรือนเห็ดร้อนมากเกินไป ในเวลาเดียวกันก็ฉีดพ่นแร่ธาตุกระตุ้นดอกเห็ดร่วมกับอาหารเสริมเห็ดดีพร้อมทุก 3-5 วัน/ครั้ง สเปร์บางๆผ่านหน้าก้อน ทำแค่นี้…ท่านก็จะมีดอกเห็ดช่วงหน้าร้อนไว้รับประทาน ไว้ขายแล้วละครับ เสนอติชมหรือสงสัยประการใดติดต่อสอบถามได้ที่ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ 02-9861680 -2
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com
เสนอแนะติชมได้ที่ email : thaigreenagro@gmail.com

แก้ปัญหามะนาวขาดน้ำยืนต้นตายด้วย”โพลิเมอร์”

17 มิ.ย.

ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตกพรำๆ กบมันก็ร้องงึมงำ ระงมไปทั่วท้องนา …….สวัสดีท่านสมาชิกชมรมเกษตรปลอดสารพิษทั้งขาประจำและขาจร ที่มีใจรักในเกษตรปลอดสารพิษทุกๆท่านครับ เปิดหัวมาด้วยบทเพลงฝนเดือนหก บทเพลงอัมตะของรุ่งเพชร แหลมสิงห์ ย่างเข้าส่เดือนมิถุนายน (เดือน6 ตามปฏิทินสากล) ซึ่งเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเต็มตัว แต่ทว่าจากการสอบถามกับเกษตรกรทั่วทั้งประเทศไทย ได้ยินเป
นเสียงเดียวกันว่าช่วงนี้ ยังแล้งอยู่เลย ฝนไม่ตก อากาศร้อนเท่าเดือนเมษายนเลย น้ำจะทำการเกษตร ทำนาก็ไม่มี ปกติช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงทำนาปีของชาวนา เขตภาคเหนือ ภาคอีสาน แต่จากการที่สอบถามกับเกษตรกรชาวนาในพื้นที่ดังกล่าว กลับพบว่า ข้าวที่หว่านไว้ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายนยืนต้นตายหมดแล้วเพราะขาดน้ำมาเลี้ยง น้ำในคลองก็ไม่มี แต่ก็มีเกษตรกรอีกไม่น้อยที่ยังรอน้ำเพื่อทำการเพาะปลูกพืชต่างๆอยู่ แต่การทำเกษตรในปีนี้ถือได้ว่าเสียงมาก เพราะฝนฟ้าไม่เป็นใจ ตกมาครั้งหนึ่งแล้วก็เว้นช่วงไปเป็นเดือน การที่ฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานานเช่นนี้อาจส่งผลให้พืชที่ปลูกไปแล้วไม่มีน้ำเพียงพออาจส่งผลให้พืชนั้นแล้งตายได้ สำหรับพืชตระกูลไม้ยืนต้นที่เกษตรพืชนิยมปลูกมากที่สุดในปีนี้คงหนี้ไม่พ้น มะนาว ซึ่งมะนาวเป็นพืชดาวรุ่งที่คนหันมาปลูกกันมากเพราะราคาดี ดูแลดีๆอาจฟลุ๊คเป็นเศรษฐีได้เลยภายในปีเดียว ทำให้คนหันมาปลูกมะนาวมากในระยะ 1-2 ปีนี้ แต่ปัญหาเรื่องฝนทิ้งช่วงอาจส่งผลกระทบสำหรับผู้ที่ปลูกมะนาวแล้วต้องใช้น้ำฝนช่วย อาจทำให้มะนาวขาดน้ำแล้วตายได้ เสียหายต้องหากิ่งกิ่งพันธุ์มาปลูกซ่อมใหม่ ซึ่งกิ่งพันธุ์มะนาวในทุกวันนี้ก็ใช่ว่าจะถูก ต้นพันธุ์ 1 ต้นเป็นร้อยบาท
ทางชมรมเกษตรปลอดสารพิษจึงขอแนะนำวิธีการที่ช่วยให้มะนาวที่ปลูกแล้วมีปัญหาเรื่องน้ำ ด้วยการใช้ โพลิเมอร์ (สารอุ้มน้ำ) ในการช่วยให้มะนาวมีน้ำใช้ช่วงที่ฝนทิ้งช่วง สำหรับวิธีการใช้โพลิเมอร์สำหรับผู้ที่ยังไม่ปลูกหรือกำลังจะปลูกมะนาว ให้นำโพลิเมอร์ไปแช่น้ำ ในอัตราโพลิเมอร์ 1 กระป๋อง(500กรัม) น้ำ 100 ลิตร ดดยแช่ทิ้งค้างคืนไว้เลย พอเช้าน้ำที่ใช้แช่โพลิเมอร์จะกลายเป็นวุ้นหรือเจล เสร็จแล้วให้ตักโพลิแมอร์ 1 กิโลกรัม/ลิตร ที่แช่น้ำแล้วไปรองก้นหลุมมะนาวก่อนปลูก วิธีการนี้จะช่วยให้มะนาวมีน้ำสำรองไว้ในหลุม ในช่วงที่มีฝนตกหรือมีความชื้นในดินมะนาวจะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากโพลิเมอร์เลย แต่ถ้าช่วงแล้งความชื้นในดินไม่มี มะนาวก็จะมาดูบน้ำหรือความชื้นจากตัวโพลิเมอร์ที่เราใส่รองก้นหลุมไว้ ทำให้มะนาวที่เจอฝนทิ้งช่วงมีน้ำใช้ตลอด ส่วนมะนาวที่ปลูกไปแล้วก็สามารถนำโพลิเมอร์ไปใช้ได้เหมือนกันโดยสามารถขุดหลุมข้างๆต้นมะนาวแล้วฝังโพลิเมอร์ไว้ได้เหมือนกัน เดียวรากของมะนาวจะมาใช้น้ำจากโพลิเมอร์ที่เราขุดหลุมฝังไว้ ประทังชีวิตให้ผ่านช่วงที่ฝนทิ้งช่วงได้ครับ…..
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ นายจตุโชค จันทรภูมี โทร.085-9205846 หรือสอบถามไปที่ฝ่ายวิชาการของชมรมเกษตรปลอดสารพิษ โทร.02-9861680-2

เขียนและรายงานโดย
นายจตุโชค จันทรภูมี(นักวิชาการ)