Archive | มิถุนายน, 2015

อากาศแปรปรวน ต้นไม้ก็รวนเร

16 มิ.ย.

นี่ก็ย่างเข้ากลางเดือนมิถุนายนแต่ภาพรวมเรื่องฝนเรื่องฟ้าดูจะน้อยหน้ากว่าสามสี่ปีที่ผ่านมา เพราะปริมาณน้ำฝนที่บรรจุลงสู่เขื่อนไม่เพียงพอต่อการทำไร่ไถนาของพี่น้องเกษตรกร รัฐบาลโดยการนำของท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีมาตรการออกมาว่าในห้วงช่วงนี้ห้ามมิให้เกษตรกรทำนาให้กล้ำกลืนฝืนทนจนกว่าจะมีพายุลูกใหม่ในอนาคตเข้ามา แล้วจะต้องภาวนาให้ไปตกเหนือเขิ่อนที่มีแต่พืชไร่ ข้าว อ้อย ข้าวโพด สมมุติว่าฝนตกลงมาน้ำก็จะบ่าไหลรี่ปรี่ลงสู่เขื่อนอย่างรวดเร็ว เพราะหน้าดินที่ตื้นจากพืชไร่ ไฉนจะเหมือนรากของสักทอง ตะแบก เหียง เต็ง รัง มะค่า ฯลฯ ที่สามารถใช้รากแก้วทิ่มแทงทะลุทะลวงดำดิ่งลึกลงไปให้หน้าดินสามารถกักเก็บน้ำได้มากกว่า 70 % ของปริมาณน้ำฝนทั้งปีที่เฉลี่ยออกมาได้ประมาณ 800,000 ล้านลูกบาศก์เมตร
อากาศของทั้งโลกที่แปรปรวน ทำให้สรรพสิ่งหลายอย่างในผืนโลกต่างก็รวนเรไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของคน สัตว์และพืช คน และสัตว์นั้นก็น่าจะได้รับผลกระทบ รับความเดือดร้อนเรื่องอาหารการกิน ที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น น้ำท่วม ฝนแล้ง ไม่น่าจะแตกต่างกันมาก ส่วนพืชนั้นแม้ว่าจะดูเงียบเรียบเฉย ไม่สามารถที่จะกระดิกพลิกตัวเคลื่อนย้ายเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้ แต่ก็ฟ้องแสดงออกมาทางสีของใบเมื่อไม่ได้รับแร่ธาตุและสารอาหารที่เพียงพอ หรือบางครั้งก็มีสาเหตุจากโรคแมลงรบกวน จวนจบให้พืชพบกับอาการที่ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม จากสีเขียวเป็นสีเหลือง แล้วค่อยๆออกส้มออกแสดแปดป่ายส่ายสลับกับน้ำตาลจนอันตรธานผ่านพ้นไปจากลำต้น

สภาพอากาศที่เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝน เดี๋ยวน้ำท่วม เดี๋ยวฝนแล้ง พืชก็จะมีโรคที่หลากหลายสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนออกมาท้ายทายให้คนได้ยลและแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นโรครากเน่าโคนเน่า โรคใบดำ ใบด่าง ใบจุ ใบเหลือง ใบซีด ใบหงิกหยิกหยอย หรือสาเหตุของโรคที่ร้อนขึ้นทำให้แมลงศัตรูพืชมีการเพิ่มจำนวนระบาดกระจัดกระจายไปในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในห้วงช่วงปี 2553, 2554 ที่มีการระบาดของเพลี้ยไปทุกหย่อมหญ้าจนมีพระอาจารย์ดังจากวัดแถวสุพรรณบุรี ต้องออกมาสร้างยันต์กันเพลี้ยออกมาช่วยพี่น้องเกษตรกรชาวนาให้ไปปักไว้ตามหัวไร่ปลายนาก็มีมาแล้ว

ความจริงการที่จะช่วยให้พืชมีภูมิคุ้มกันทานทนต่อโรคแมลงเพลี้ย หนอน ไร ราและสภาพภูมิอากาศก็สามารถที่จะทำได้แล้วนะครับ ถึงแม้ว่าจะช่วยไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่อย่างน้อยก็ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา จากการใช้กลุ่มของหินแร่ภูเขาไฟ (Zeolite) ที่นักวิชาการทั่วโลก (Silicon In Agriculture 2011) ต่างก็มุ่งไปในเรื่องของการใช้หินแร่ภูเขาไฟให้พืชมีสภาพทนทานต่อพื้นที่ดินเค็ม อากาศร้อนจัด หนาวจัด แตกต่างจากปี ค.ศ. 1999 ที่ต่างคนต่างก็คิดแต่จะนำเอาแร่ธาตุซิลิก้าจากหินแร่ภูเขาไฟหรือในแหล่งต่างๆ มาช่วยทำให้พืชแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันนับว่าหินแร่ภูเขาไฟนั้นมีบทบาทที่โดดเด่นเป็นอย่างมากในเรื่องของการนำมาใช้ในการปรับปรุงสภาพดิน ให้มีความอุดมสมบูรณ์ ช่วยทำให้ดินมีแร่ธาตุสารอาหารที่ครบถ้วนเสริมจากการใส่ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกปุ๋ยอินทรีย์และเคมี มีหน้าที่ในการกักเก็บอุ้มน้ำอุ้มปุ๋ยด้วยค่า C.E.C. (Catch Ion Exchange Capacity) ทำหน้าที่ปลดปล่อยแร่ธาตุซิลิคอน (H4Sio4) ทำให้ผนังเซลล์ของพืชแข็งแรงต้านทานแมลงศัตรูพืชและโรคต่างๆ การใช้หินแร่ภูเขาไฟ (พูมิช [Pumish], พูมิชซัลเฟอร์ [Pumish Sulpher], ม้อนท์โมริลโลไนท์ [Montmorillonite], ไคลน็อพติโลไลท์ [Clinoptilolite] ) ในอัตราเพียง 20-40 กิโลกรัมต่อไร่ก็จะช่วยให้พืชมีความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง โรคแมลงเข้าทำลายได้น้อย หรือไม่แสดงอาการ ทำให้พี่น้องเกษตรกรบริหารงานบำรุง ดูแลรักษา แก้ปัญหาที่ปลายเหตุได้ง่ายขึ้น

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

ภาวะฝนแล้ง แกล้งชาวนาซ้ำสอง

15 มิ.ย.

อาชีพชาวนาที่ถูกเรียกขานว่าเป็นกระดูสันหลังของชาตินั้น ดูว่าจะประสบชะตากรรมที่อาภัพอับจนลงทุกวัน เพราะว่าเป็นอาชีพที่จะถูกสั่งให้ซ้ายหันขวาหันได้ตลอดเวลา มีหน้าที่แค่ทำตามคำบัญชาจากเบื้องบนเท่านั้น หมดสิทธิ์ที่จะเรียกร้องบอกกล่าวไม่ว่าในกรณีใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งในเรื่องของนโยบายและงบประมาณไม่ว่าจะเป็นการประกันราคา การจำนำข้าว ก็ถูกยกเลิกทิ้งไปเสียหมด นานๆทีจะมีโครงการและงบประมาณเข้ามาช่วยเหลือในระดับเป็นแสนล้านบาท แต่ก็ต้องมาพังพาบไปด้วยข้อกล่าวหาที่ว่ามีการทุจริตโกงกิน ทั้งที่น่าจะไปแก้ไขปัญหาว่ามีการทุจริตตรงจุดไหน บริเวณไหน แล้วก็เข้าไปดูแลแก้ปัญหา และให้นโยบายที่ส่งเงินไปถึงชาวนาดำเนินต่อไป อำนาจของรัฐบาลที่มีหัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี เป็นคนๆ เดียวกันไม่น่าจะบริหารจัดการยาก เพื่อที่ว่าชาวนาจะได้มีรายได้ให้พอลืมตาอ้าปากได้ ไม่ต้องจำกัดจำเขี่ยไส้กิ่วจากราคาข้าวเพียงหกถึงเจ็ดพันกว่าบาท อย่างนี้อีกกี่ปีกี่ชาติชาวนาจึงจะลืมตาอ้าปากได้

นอกจากนโยบายที่นานๆทีจะมาถึงตัวพี่น้องเกษตรกรชาวไร่ชาวนาแล้ว การดูแลแก้ปัญหาน้ำท่วม ฝนแล้ง แมลงระบาด รัฐบาลในหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมาก็มิได้ดูดำดูดี มีแต่แก้ปัญหาแบบปลายเหตุ น้ำท่วมก็ให้หยุดทำนา ฝนแล้งก็ให้หยุดทำนา แมลงระบาดก็ให้หยุดทำนา หยุดพักรักษาพื้นที่รอให้แมลงอดอาหารและอพยพโยกย้ายหนีไป ในระหว่างที่หยุดทำตามนโยบายจากภาครัฐ แล้วถ้าจะถามว่าระหว่างที่หยุดนี้ชาวนาเหล่านั้นจะมีรายได้จากไหนมาเสริมเพิ่มเติมจุนเจือสมาชิกในครอบครัว เปรียบเหมือนเราๆ ท่านๆ ที่ทำงานโรงงาน ออฟฟิศ ธนาคาร บริษัท ห้างร้านต่างๆ ยังไม่เคยเห็นว่ามีนโยบายจากรัฐบาลยุคใดให้พนักงานหยุดทำงาน หยุดรับรายได้จากวิกฤติเศรษฐกิจหรือวิกฤตต่างๆ มีแต่เห็นสั่งให้ชาวนาหยุดทำนานี่แหละครับ ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงปีนี้ชาวนากับทหารมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการแย่งน้ำทำนา โดยมีมาตรการที่เด็ดขาดห้ามชาวนาวิดน้ำเด็ดขาด ผู้ใดฝ่าฝืนจะทำการยึดเครื่องมือ จึงทำให้เกษตรกรชาวนามีปัญหาไม่สามารถที่จะทำนาและขาดรายได้ โดยเฉพาะปีนี้ดูทีท่าว่าจะแล้งยาวนานเพราะผลพวงจากวิกฤติการณ์เอลณีโญเข้ามาผสมปนเปอีกระรอกหนึ่งจึงทำให้ ภาคการเกษตรโดยเฉพาะการปลูกข้าวย่ำแย่ตกต่ำ ส่งผลให้ประชาชนที่มีอาชีพนี้กว่าค่อนประเทศต้องลำบากยากจนข้นแค้นอย่างสาหัส โดยนโยบายห้ามทำนาในครั้งนี้ก็เท่ากับเบิ้ลสองรอบแล้วที่ชาวนาไม่สามารถทำนา ในครั้งแรกยังพอทำเนาที่พื้นที่ภาคกลางส่วนใหญ่ใช้การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจากการวิดน้ำจากบ่อบาดาล แต่ก็วิดจนแห้งเหือดไม่เหลือหรอพอที่จะทำได้ครั้งที่สอง ครั้งนี้เรียกว่าเผาจริงสำหรับชาวนา เพราะปัญหาภัยแล้งมาอีกระรอกหนึ่ง จะดูแลแก้ปัญหาให้ตนเองก็คงจะต้องสร้างสระน้ำประจำไร่นา ทำสระน้ำแก้มลิง เพื่อประวิงเวลารอให้รัฐบาลเห็นความสำคัญของการสร้างเขือน สร้างแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่ที่เหมาะสม รณรงค์ให้ประชาชนปลูกป่าไม้ยืนต้นแทนพืชไร่ในบริเวณพื้นที่เหนือเขื่อน เพื่อให้มีรากหยั่งลืกลงไปในพื้นดินได้มากขึ้น กักเก็บน้ำได้มากขึ้น จะได้ทยอยปล่อยน้ำจากป่าสมบูรณ์ลงมาสู่เขื่อนทีละน้อยๆ เขื่อนจะได้ไม่ล้น และไม่ต้องปล่อยน้ำทิ้งลงทะเลก่อนเวลาอันควร จะอย่างไรก็รอดูว่ารัฐบาลนี้ของท่าน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะสามารถเข้ามาดูแลแก้ไขให้ชาวนาได้ลืมตาอ้าปากแบบยั่งยืนได้หรือไม่

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

ฝนตก ดินแฉะ อากาศชื้น เชื้อโรคตื่นฟื้นพร้อมระบาด

12 มิ.ย.

ฝนตกในกรุงเทพมาสองวัน จากอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ จากทะเลจีนใต้ที่พัดขึ้นมาทางภาคอีสานตอนล่าง ภาคตะวันออกรวมถึงภาคกลางบางพื้นที่ ส่งผลให้กรุงเทพมหานครแทบจะจมอยู่ใต้บาดาลในห้วงช่วงสองสามชั่วโมง โรงเรียนในบางพื้นที่ต้องปิด จราจรติดขัด ความลำบากยากเข็ญสะท้อนไปยังผู้บริหารกทม. นั่นก็คือท่านสุขมพันธุ์ บริพัตร โดยมีเสียงเรียกร้องจากสื่อทางโซเชี่ยลเน็ทเวิร์ค ให้รัฐบาลใช้มาตรา 44 สั่งปลด เพราะปล่อยให้กรุงเทพฯ เกิดปัญหาดังกล่าว
ก็ว่ากันไปตามอารมณ์คนไทยที่เบื่ออะไรง่าย พอทำอะไรไม่ถูกใจ ไม่เข้าที่เข้าทางก็ฟาดงวง ฟาดงา พาลพาโลไปทั่ว จะอย่างไรก็ตามคาดว่า ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑลและพื้นที่ที่อยู่ในอิทธิพลของมรสุมก็น่าจะได้รับความชุ่มชื้นฉ่ำเย็นจากสายฝนที่โปรยปรายลงมาไม่แพ้กัน จะอย่างไรก็ตามความเย็นซึ่งเป็นผลพวงจากฝนก็คงจะเป็นที่ชื่นชอบใครหลายๆคน และเฉกเช่นเดียวกัน ความชื้นแฉะทั้งในดินและอากาศก็สามารถสร้างปัญหาให้กับพืชไร่ไม้ผลของเกษตรกรได้เช่นเดียวกัน
ความชื้นที่มีอยู่มากจากฝน ก็จะช่วยทำให้เชื้อราโรคพืชที่ตกค้างปนเปื้อนอยู่ในอากาศและพื้นดินก็จะเจริญเติบโตแตกกอต่อยอดออกมาสร้างความเสียหายให้กับพืชนานาชนิดได้ ดังที่ถ้าเราๆ ท่านๆ ได้ลองสังเกตหลังฝนตกใหม่ๆ พืชไร่ไม้ผลหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ข้าว อ้อย ปาล์ม ยางพารา ข่า ขิง ฯลฯ จะมีปัญหาใบไหม่ ใบด่าง ใบดำ ใบจุด สร้างความเสียหายทุกครั้งหลังฝนตกไปได้ไม่เกินสองหรือสามวัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะฝนนั้นทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศมีมวลน้ำสะสมอยู่มาก ทำให้สปอร์ที่ปลิวล่องลอยในอากาศหน่วงหนักตกหล่นลงมาสู่ใบพืชและพื้นดินจนเกิดปัญหาดังกล่าว
การใช้เปลือกมังคุดที่รับประทานเสร็จแล้วนำผลไปตากผึ่งลมให้แห้งเพียง 200 กรัมหมักกับเหล้าขาวหรือแอลกอฮอล์ล้างแผล 70% หมักไว้ 7 วัน ก็นำมาใช้ฉีดพ่นล้างใบทำลายสปอร์ในอัตรา 2 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร หลังฝนตกใหม่ๆ ก็ช่วยลดปัญหาการระบาดของโรคพืชต่างๆ ได้มากมายนัก แต่อย่าลืมนะครับว่านี่คือการป้องกันการเจริญเติบโตของสปอร์ ถ้าพืชที่มีปัญหาไปแล้วนั้น ควรจะต้องทำการรักษา ในที่นี้ก็จะขออนุญาตแนะนำชีวินทรีย์รักษาเชื้อราอย่าง ไตรโคเดอร์ม่า นำเอาสปอร์สำเร็จรูป 100 กรัมละลายในน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ 3 – 7 วัน หรือจะสลับไปกับ บีเอสพลายแก้วในอัตราเดียวกันก็ได้ แต่บีเอสพลายแก้ว นั้นสามารถลดต้นทุนด้วยการหมักขยายในอัตรา 5 กรัมต่อมะพร้าวอ่อน 1 ผล, นมยูเฮชที 1 กล่อง หมักให้ได้ 24 ชั่วโมง แล้วนำมาผสมน้ำ 20 ลิตรฉีดพ่นต้นทุนจะอยู่ประมาณ ปิ๊ปละ 5 บาท ก็จะช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดเชื้อราได้หลากหลายนะครับ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 02 986 1680 – 2

มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

กินและเพาะเห็ดอย่างง่าย สไตล์พอเพียงหลีกเลี่ยงสารพิษ

11 มิ.ย.

ถ้าจะพูดถึงพืชพรรณธัญญาหารในบ้านเรานั้นนับว่ามีความอุดมสมบูรณ์พูลเพิ่มมากกว่าประเทศใดๆในโลก ทั้งข้าวปลาอาหารพืชผักผลไม้มีให้กินกันได้ตลอดทั้งปี ทั้งรูปแบบที่ปลอดภัยไร้สารพิษ และไม่ปลอดสารพิษ ก็จำหน่ายขายกันทั่วไปในทุกหย่อมหญ้า ขายได้ทั้งหมดสุดแท้แต่ผู้บริโภคจะมีรสนิยมชมชอบก็เลือกสรรกันไป
แต่ถึงแม้ว่าจะมีพืชผักสวนครัวมากมายให้คนไทยเลือกบริโภค ก็ยังมีอาหารอีกชนิดหนึ่งที่จะเรียกว่าพืชก็ไม่ใช่ไรราก็ไม่เชิง เพราะมีคุณสมบัติดูคล้ายเป็นพืชผักที่มักรับประทานกันเป็นปรกติไม่เห็นความแตกต่างอยู่ถ้วนทั่วทุกหัวระแหง โดยเฉพาะเทศกาลถือศีลกินเจนั้นแทบจะเรียกได้ว่าอาหารชนิดนี้สามารถออกมาแทนที่ได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว ไม่ว่าเนื้อวัว หมู เป็ด ไก่ กุ้ง ปลา และพืชผักต่างๆ
สิ่งที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้ก็คือ “เห็ด” นั่นเองครับ เพราะว่าเห็ดทุกชนิดในโลกนี้จัดอยู่ในกลุ่มของ จุลินทรีย์ที่ชื่อว่า “เห็ดรา” แต่ถ้าเราเรียกรวมๆกันไป คนจะรู้จักในชื่อ “ฟันใจ (Fungi)” และถ้าจะแยกแยะให้ชัดเจนว่า “รา” โดยทั่วๆไป หรือ “ราชั้นต่ำ” ที่ไม่สามารถสร้างก้านหรือดอกเห็ด (Fruiting Body) ได้ก็จะเรียกันว่า ไมโครฟันใจ (Micro Fungi) และถ้าเป็น “เห็ด” ที่มีการรวมตัวของเส้นใยจนหนาแน่นเป็นกลุ่มเป็นก้อนจนเกิดเป็น “ดอกเห็ด” ได้ อันนี้เราจะเรียกกันว่า แมคโครฟันใจ (Macro Fungi) และถ้าจะรวบรวมว่า “รา” ทั้งหมดในโลกนี้มีทั้งหมดกี่ชนิด ก็คิดว่าเป็น 1,000,000 ชนิดครับ ที่มนุษย์ได้ทำการศึกษาค้นว่าและเป็นที่รู้จักก็ประมาณ 100,000 ชนิด เป็น ราชั้นต่ำ 70,000ชนิด เป็นเห็ด 30,000 ชนิด ในส่วนของเห็ดนั้นยังแยกแยะได้อีกนะครับว่า เป็นเห็ดเมาเห็ดพิษกินไม่ได้อีกกว่า 300 ชนิด
เห็นไหมครับว่า เจ้าเชื้อราชั้นสูงที่จะจัดให้เป็นพืชก็อยู่ในหมวดของพืชชั้นต่ำเพราะไม่มีคลอโรฟิลด์สังเคราะห์แสง และถ้าจะให้เป็นราก็ถือว่าเป็นราชั้นสูงกว่าเชื้อราสามัญโดยทั่วไป นั้นเริ่มน่าสนใจมากขึ้น เพราะว่าองค์ประกอบของเขานั้นประกอบไปด้วยโปรตีนที่สูงมาก มากเสียจนใช้รับประทานทดแทนเนื้อสัตว์ได้เลยนะครับ จึงเป็นที่นิยมของบรรดาแม่ครัวหัวเจทั้งหลายนำเห็ดนานาชนิดมาประกอบเมนูต่างๆ โดยใช้เห็ดทดแทน และนอกจากนั้นแล้วประโยชน์ของเห็ดในแง่โภชนาการนั้นยังไม่มี “ไขมัน” มารบกวนสาวๆ ให้รำคาญว่าทานแล้วจะต้องอ้วน เพราะการรับประทานเห็ดนั้นจะไม่มีทางอ้วนเลยครับ แถมยังเป็นสมุนไพรในเชิงยาอายุวัฒนะที่ชาวจีนนิยมชมชอบรับประทานกันมานมนานหลายพันปี ไม่ว่าจะเป็นเห็ดหมื่นปี (เห็ดหลินจือ) หรือเห็ดถังเช่า เห็ดหอม ฯลฯ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นยาอายุวัฒนะโดยเฉพาะในอดีตผู้ที่จะรับประทานกันได้นั้นจะต้องเป็น “ฮ่องเต้” เท่านั้นนะครับจึงจะมีสิทธิ์รับประทาน
การเพาะเห็ดนั้นก็ทำได้ไม่ยากนะครับ เพียงไปหาซื้อก้อนเชื้อที่มีเส้นไยสีขาวเดินจากปากถุงลงมาสู่ตลอดก้นถุงจนหนาแน่นมีสีขาวกลบทับขี้เลื่อยจนไม่เห็นสีน้ำตาลแล้ว ก็นำมาแกะหมวกกระดาษที่ครอบ ดึงสำลีที่ยัดอยู่ในปากถุงออก นำไปตั้งวางไว้ในโอ่ง อ่าง กระถาง กล่องทีวีตู้เย็นเก่า หรือห้องน้ำ ก็สามารถที่จะทำได้ แล้วใช้ฟรอกกี้ฉีดพ่นสเปรย์รดน้ำเช้า -เย็น เพียงสามสี่วันท่านก็จะได้เห็ดดอกเห็ดออกมาให้รับประทานหนึ่งก้อนเชื้อเห็ดจะมีดอกออกมาประมาณ 200 -300 กรัม โดยสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันออกมา ก้อนหนึ่งถ้าเป็นเห็ดนางรมนางฟ้าก็จะอยู่ได้นานถึง 4 – 5 เดือน เห็ดบางชนิดอย่างยานางิ เห็ดขอนก็อยู่ได้เป็นปีสองปีก็มี่นะครับ สนอกสนใจข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อแลกเปลี่ยนกันได้ที่ ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ 02 986 1680 – 2 นะครับ

มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

ทำไมข้าวไทยไล่เวียดนาม

10 มิ.ย.

ถึงแม้ว่าปลายปีที่ผ่านมาไทยเราจะยังครองแชมป์ส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ก็ต้องยอมรับว่านั้นเป็นผลพวงจากการที่เราได้เคยไปตกลงเจรจาต้าอวยกับจีนผลพวงของรัฐบาลนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตรแล้วรัฐบาลของท่าน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาสานต่อให้เกิดเป็นผลต่อเนื่อง รวมทั้งเงื่อนไขอื่นๆ อีกมากมายจิปาถะที่ต่างก็สัญญิงสัญญาว่าจะช่วยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทั้งรถไฟความเร็วสูง สายอุดร ขอนแก่น โคราช สระบุรี กทม. และสระบุรี ไปมาบตพุด นี่ยังไม่นับรวมเรื่องของยางพาราอีกด้วยนะครับ จึงทำให้ตัวเลขการส่งออกข้าวในปีที่ผ่านมานั้นดูดีมีสกุลขึ้นมาเยอะเลย ไม่ขี้เหร่
แต่จะอย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับความจริง ว่าไทยเรานั้นมีข้อเสียเปรียบเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามอยู่ค่อนข้างเยอะ เพราะวิถีชีวิตชาวนาเวียดนามเป็นไปแบบธรรมชาติ การใช้แรงงานภาคการเกษตรก็เป็นแบบครัวเรือนไม่ต้องจ้าง พื้นที่การปลูกข้าวต่อหัวของเขาก็อยู่ที่ 6.25 ไร่เทียบกับของไทยก็จะอยู่ที่ประมาณ 17 – 20 ไร่ ทำให้มีเวลาที่จะดูแลแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างทันท่วงที ค่าแรงขั้นต่ำก็อยู่ที่ 80 บาทต่อวัน ต่ำกว่าประเทศไทยเรา 3-4 เท่าตัว การขนส่งที่มีแม่น้ำภายในประเทศที่กว้างใหญ่หลายสาย เวียดนามจึงได้เปรียบไทยในแง่โลจิสติกส์อีกทางหนึ่ง คือใช้ก่ารขนส่งทางเรือทำให้ต้นทุนยิ่งต่ำ กอรปกับลักษณะของพันธุ์ข้าวที่ไม่ไวแสง เมล็ดสั้น โตเร็ว ให้ผลผลิตไว จัดอยู่ในชนิดของข้าวขาว 25% คุณภาพด้อยกว่าของไทยเรา และยังสามารถที่จะเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี เนื่องด้วยเวียดนามนั้นจะมีพื้นที่แปลงเล็กแปลงน้อยที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันปลูก จึงทำให้เกษตรกรชาวนาในบ้านเขานั้นมีรายได้ตลอดทั้งปีไม่ต้องหนีไปทำอาชีพอื่น พื้นที่ในเขตชลประทานบ้านเขานั้นก็มีมากกว่า 90 % บ้านเรามีเพียง 20 กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง
นี่ยังไม่นับรวมนโยบายหรือมาตรการจากภาครัฐนะครั้บที่ดูแลช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรชาวไร่ชาวนาของเขาอย่างดีเยี่ยม เช่น นโยบาย 3 ลด 3 เพิ่ม ลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้เมล็ดพันธุ์ ลดการใช้สารเคมีที่เป็นพิษ เพิ่มคุณภาพชีวิต เพิ่มปริมาณผลผลิต เพิ่มรายได้ให้ชาวนา แต่นโยบายบ้านเรานั้นนานๆ ทีจะมีไปถึงไม่ว่าจะเป็นโครงการรับจำนำ ประกันราคา นอกนั้นก็เห็นมีแต่สั่งให้หยุดปลูกเมื่อน้ำท่วม หยุดปลูกเมื่อฝนแล้ง หยุดปลูกเมื่อเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลหรือโรคแมลงระบาด แทนที่จะเข้ามาดูแลแก้ไขให้อาชีพของชาวนาอยู่รอดปลอดภัยโดยไม่ต้องหยุด เหมือนกับอาชีพอื่นๆ อีกหลายอาชีพ ที่ไม่เคยเห็นรัฐบาลสั่งให้หยุด ไม่ว่าจะเป็นพนักงานแบงค์ พนักงานออฟฟิศ พนักงานโรงงาน พนักงานต้อนรับที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับการท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ก็จะมีแต่ภาคการเกษตรเท่านั้นแหละครับที่รัฐบาลสั่ง “หยุด” ได้ แล้วอย่างนี้ เราจะเอาอะไรไปสู้กับเวียดนาม และอีกประเทศหนึ่งที่ตามมาไม่ห่างเท่าไรอย่างเมียนมาร์ได้ล่ะครับ
สาเหตุอีกอย่างหนึ่งก็คือชาวนาไทยในปัจจุบันเป็นชาวนานายทุน มีโทรศัพท์สั่งงาน สั่งให้มาเตรียมดินทำเทือก สั่งให้มาหว่านเมล็ดพันธุ์ สั่งให้มาใส่ปุ๋ย สั่งให้มาฉีดพ่นยาฆ่าแมลงศัตรูพืช สั่งให้มาเก็บเกี่ยวผลผลิต ทำให้ต้นทุนเราสูงกว่าเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และที่สำคัญไม่แน่ใจว่าชาวนาจริงๆ นั้นมีเหลืออยู่จำนวนเท่าใด มีพื้นที่เป็นของตนเองหรือไม่ หรือขายและเช่านานายทุนทำต่อแบบเอาชีวิตรอดไปวันๆ ถ้าเป็นเช่นนี้ชาวนาตัวจริงก็ขาดสิ่งจุงใจ ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ลงทุนทำให้สิ่งใหม่ๆ เพราะกลัวว่าต้นทุนจะสูง กลัวจะเจ๊ง กลัวจะไม่มีเงินไปจ่ายค่าเช่า จึงทำให้ประสิทธิภาพชาวนาของประเทศไทยง่อยเปลี้ยเสียขาวิ่งหรือเดินตามประเทศอื่นๆ ไม่ทัน ….บางทีถ้าท่านเพียงเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็อาจจะเปลี่ยนได้อย่างสิ้นเชิงนะครับ ดังพุทธธรรมคำสอนของท่าน ว. วชิรเมธี ที่ได้กล่าวเอาไว้ ลองหยุดรูปแบบเกษตรที่ใช้สารพิษ เปลี่ยนมาเป็นชีวิตการเกษตรที่ปลอดภัย ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสายเกินแก้……ลองดูนะครับ

มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

มะนาวในกระถาง ระวังเรื่องดินแน่นแข็ง

9 มิ.ย.

เกษตรกรที่ปลูกมะนาวโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเมือง มีพื้นที่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นทาวเฮาส์ หมู่บ้านจัดสรร หรือโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีพื้นที่ต้องจำกัดจำเขี่ย จะเพาะจะปลูกอะไรก็ต้องให้ได้ประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่หันไปให้ความสนใจในเรื่องการปลูกมะนาวในโอ่ง อ่าง กระถางที่ชำรุด หรือไม่ก็กระถางที่ดีมีสีสันลวดลายต่างๆ บางคนก็ใช้วงซีเมนต์ที่มีราคาประหยัดลงมาหน่อย (เมื่อเทียบกับสี่ห้าปีที่ผ่านมาก่อนที่จะมีกระแสการปลูกในวงซิเมนต์ที่มาแรง) ไม่นับรวมพืชไร่ไม้ผลอื่นหรือไม้ดอกไม้ประดับก็เช่นเดียวกัน ต่างก็ถูกออกแบบ จัดสรรให้เหมาะสมลงตัว กับพื้นที่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

การปลูกต้นไม้ในกระถางสิ่งที่ท่านผู้รักต้นไม้ทั้งหลายจะต้องให้ความสำคัญก็คือเรื่องของการเฝ้าระวังดิน ที่นำมาเพาะปลูก เพราะส่วนใหญ่จะใช้ดินที่ซื้อมาจากข้างทาง ซึ่งมีการตักหน้าดินขายมาหลายสิบปี จนไม่แน่ใจว่าปัจจุบันพื้นที่ร้อยไร่พันไร่นั้น จะยังมีหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์อยู่หรือเปล่า หรือจะเหลือเพียงดินเหนียวบวกกับขี้เถ้าแกลบและปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกอีกนิดหน่อย เพราะนำมาใส่ในต้นไม้ทีไรเผลอแป๊ปเดียวก็มีแต่ดินเหนียวทุกที (ฮ่าๆ อันนี้ไม่กล้าฟันธงนะครับ)

จะอย่างไรก็ตามครับ ถ้าเรานำมะนาวมาปลูกไว้ในกระถาง พฤติกรรมการปลูกที่ต้องรดน้ำลงไปในพื้นที่จำกัดและจะต้องมีน้ำส่วนเกินไหลออกไปนอกกระถางตามรูรั่วด้านล่างของก้นกระถาง อินทรียวัตถุต่างๆ ก็จะถูกชะล้างนำพาออกไปด้วยทุกครั้ง ทำให้ดินในกระถางที่ปลูกมะนาวจะแน่นแข็งทุกๆ สามเดือน หกเดือนหรือหนึ่งปี จึงเป็นพฤติกรรมที่ทำกันบ่อยของชาวสวนผู้ปลูกต้นไม้ในกระถางที่จะต้องมีเทศกาลเปลี่ยนดินหรือวัสดุปลูก ความจริงการหมั่นเติมกลุ่มของฮิวมิค แอซิด (ชื่อการค้า โพแทสเซียม ฮิวเมท) เพื่อทดแทนอินทรียวัตถุปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกที่สูญสลายหายไปกับน้ำก็ช่วยทำให้ดินอ่อนนุ่มไม่แน่นแข็งได้เช่นเดียวกัน และยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับหินแร่ภูเขาไฟ พูมิชซัลเฟอร์ (Pumish Sulpher) ด้วยแล้ว ก็จะทำให้แร่ธาตุและสารอาหารในกระถางของมะนาวเกือบครบโภชนาการของพืช หรือครบห้าหมู่ถ้าเรียกแบบชาวบ้าน แถมหินแร่ภูเขาไฟยังช่วยทำให้ดินโปร่งร่วนซุยอย่างยั่งยืนได้อีกด้วยนะครับ

บางคนอาจจะมีปัญหาดินแน่นแข็งเป็นดานไปแล้ว ปล่อยเลยตามเลยจนรากขัดสมาธิไม่อยากจะรื้อขุดเปลี่ยนดิน ด้วยสาเหตุที่ไม่ค่อยมีเวลาหรือสุดแท้แต่จะหามาอธิบาย ท่านก็สามารถใช้สารละลายดินดาน ALS 29 (แอมโมเนียมลอเลธ ซัลเฟต) นำมาละลายน้ำในอัตรา 30 – 50 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ราดรดหรือฉีดพ่นลงไปบนกระถางทุก 15 วันถึงหนึ่งเดือน ก็ได้ ตัวสารละลายดินดาน ALS29 จะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทำให้ดินที่แน่นแข็งนั้น กลับมาอ่อนนุ่ม โปร่งฟู ร่วนซุย ได้อย่างรวดเร็ว หมดปัญหารากขัดสมาธิ น้ำท่วมขังผิวหน้า การระบายถ่ายเทน้ำไม่ดี แต่ข้อเสียของสารละลายดินดาน ALS 29 ก็คือ ถ้าใช้จนดินโปร่งฟูและร่วนซุยแบบรวดเร็วแล้ว เกษตรกรผู้ปลูกไม่ยอมใช้ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก หรือ ฮิวมิค แอซิด หรือกลุ่มของหินแร่ภูเขาไฟเข้ามาช่วยเสริมสร้างโครงสร้างดินให้ดี ดินก็สามารถที่จะยุบฟุบตัวแน่นแข็งได้อีก ….ต้องการข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติม เรื่องเกษตรปลอดสารพิษ ให้คิดถึงเรานะครับ …โทร. 02 986 1680 – 2

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

บทความเกษตร” เห็ดสามอย่างทานแล้วดี ทานถี่ๆต้านมะเร็งได้

8 มิ.ย.

เห็ดไม่ว่าจะเป็นเห็ดอะไรก็ได้ ขอแค่สามอย่างสามชนิดขึ้นไป ถ้าได้ถึง 5 ชนิดได้ยิ่งดีใหญ่ จะเป็น เห็ดสดเห็ดแห้งก็ได้ตามใจชอบ แต่ที่สำคัญเห็ดนั้นต้องทานได้ เพราะในเห็ดจะมีสารโปรตีนแต่ละชนิดไม่มาก แต่การที่เรานำเห็ดมารวมกันส่งผลให้สารเคมีในเห็ดแต่ละตัวรวมกัน ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนโปรตีนในเห็ดให้เป็นกรดอะมิโนที่มีคุณค่ามากในการต่อต้านและช่วยในการขจัดเซลล์มะเร็งให้ลดจำนวนลงได้ สำหรับผู้ป่วยมะเร็งควรทานทุกวัน จะทานในรูปน้ำต้มเห็ดหรือนำเห็ดมาปรุงเป็นอาหารแทนเนื้อสัตว์ก็ได้ ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีคนสูบบุหรี่มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่สถิติประชากรของเค้าที่เป็นมะเร็งปอดน้อยกว่าประเทศอื่นๆ มาก เนื่องจากเพราะเค้าทานเห็ดกันมากนั่นเอง นอกจากนี้เรายังสามารถทานเห็ดร่วมกับใบมะรุมได้อีกด้วย เนื่องจากเห็ดนี้จะไปทำงานร่วมกับใบมะรุมได้เป็นอย่างดี เห็ดเป็นอาหารที่มีไขมันต่ำ ไม่มีคอเลสเตอรอล มีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์อย่างโปแตสเซียมซึ่งช่วยลดความดันโลหิต ซีลีเนียมซึ่งเป็นตัวสารต้านมะเร็ง รวมทั้งยังมีวิตามินและกรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการในปริมาณพอเหมาะพอควร การทานหรือกิน”เห็ดสามอย่าง”ก็จะยิ่งได้ประโยชน์ยิ่งกว่ากินเห็ดเพียงอย่างเดียว เห็ดสามชนิดเมื่อรวมกันจะมีค่ากรดอะมิโนที่สามารถลดอัตราการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ อีกทั้งยังช่วยล้างพิษที่สะสมในตับ ซึ่งจะ…มาจากอาหาร หรือสารเคมี เช่น พิษจากสุรา สารตกค้างในเนื้อสัตว์ เคมีจากเครื่องสำอาง พิษจากสารอนุมูลอิสระ และอาจหมายรวมไปถึงไขมันในตับอีกด้วย “เห็ดสามอย่าง” ที่ว่านี้ก็คือเห็ดอะไรก็ได้ที่กินได้ ไม่ว่าจะเป็นเห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนู เห็ดเข็มทอง ฯลฯ ซึ่งอาจจะนำมาทำแกงเลียง แกงส้ม ต้มยำ ย่าง หรือทำเป็นอาหารประเภทใดก็ได้ โดยที่ไม่ต้องใช้น้ำมันเป็นส่วนประกอบ รวมไปถึงการต้มเป็นน้ำซุปเห็ดดื่มทานแทนน้ำชา กาแฟก็อีกด้วย การนำเห็ดอะไรก็ได้สามอย่างสามชนิดมาล้าง หั่น แล้วนำไปต้มรวมกันในน้ำสะอาดให้เดือดก่อนนำมาดื่มแทนน้ำซุป หรือจิบน้ำเป็นชาบำรุงสุขภาพ ส่วนเนื้อเห็ดที่เหลือนำไปประกอบเป็นอาหารอื่นได้อีก… เสนอติชมหรือสงสัยประการใดติดต่อสอบถามได้ที่ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ 02-9861680 -2

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

เสนอแนะติชมได้ที่ email : thaigreenagro@gmail.com

หินแร่ภูเขาไฟในการทำมะนาวนอกฤดู

5 มิ.ย.

ถ้าจะพูดไปหินแร่ภูเขาไฟที่ใครๆในทั่วหล้าต่างก็ศึกษาค้นคว้าวิจัยกันไปทั่วโลกนั้นก็มีประโยชน์มากจริงๆ ทั้งเรื่องของการเพิ่มเติมเสริมแร่ธาตุและสารอาหารให้ดินมีความสมบูรณ์ครบถ้วนโภชนาการ เรื่องการกักเก็บแร่ธาตุและสารอาหารให้พืชสามารถดูดกินได้ตลอดเวลา สม่ำเสมอ ตามที่พืชต้องการ ช่วยทำให้ไม่เฝือใบงามใบ แถมยังมีแร่ธาตุซิลิก้า (Sio2) ที่พร้อมต่อการเปื่อยยุ่ยละลายกลายเป็นซิลิสิค แอซิด หรือซิลิคอน (H4Sio4) ที่มีหน้าที่ทำให้เซลล์พืชแข็งแรง ต้านทานต่อเพลี้ยหนอน แมลง รา และ ไร ทำให้ง่ายต่อการดูแลบำรุงรักษาในรูปแบบที่ปลอดภัยไร้สารพิษ คือใช้แค่เพียงพืชสมุนไพร สะเดา หางไหล หนอนตายอยาก กระเทียม พริกไท ฯลฯ และใช้แค่เพียงกลุ่มของจุลินทรีย์ชีวภาพป้องกันกำจัดโรคพืช อย่าง ไตรโคเดอร์ม่า เมธาไรเซียม บีทีชีวภาพ บีเอสพลายแก้ว ไมโตฟากัส ฯลฯ ก็เพียงพอ ไม่ต้องถ่อไปใช้ยาฆ่าแมลงสารเคมีกำจัดศัตรูพืชให้สูญเสียเงินตราการนำเข้าจากต่างประเทศปีหนึ่งๆ หลายหมื่นหลายแสนล้านบาท

นอกเหนือจากนี้หินแร่ภูเขาไฟยังมีหน้าที่ช่วยให้เซียนมะนาวทั้งหลายได้ทำให้มะนาวมีความพร้อมต่อการติดดอกออกผลในฤดูที่ต้องการได้ดีอีกด้วยนะครับ โดยเฉพาะการทำให้มะนาวติดดอกในช่วงเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน และออกผลในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธุ์ ด้วยระบบการคอนโทรลควบคุมซี-เอ็นเรโช ดังที่เราๆท่านๆ ได้ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ถ้าเราสามารถบริหารจัดการค่าของคาร์บอนให้สูงกว่าไนโตรเจน พืชก็จะพัฒนาเป็นตาดอกได้ง่าย แต่ถ้าปล่อยให้ไนโตรเจนมีสัดส่วนที่สูงกว่าคาร์บอน พืชก็มีโอกาสพัฒนาเป็นใบอ่อนเสียมากกว่า โอกาสที่จะติดดอกออกผลก็ยากขึ้นไปอีก

การใช้หลักการทางฟิสิกส์ด้วยการปลูกมะนาวในสภาพแวดล้อมที่จำกัดและบริหารจัดการได้ง่ายนั้น บางครั้งก็ใช่ว่าจะตอบโจทย์ได้เสมอไปนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกด้วยโอ่ง อ่าง กระถางแตก ปลูกแบบไม่ใช้ดิน ใช้ทรายอย่างเดียว อะไรประมาณนี้ หรือการใช้เทคนิคการรมควัน ควั่นกิ่ง กักน้ำ แต่ถ้าเมื่อใดมีฝนหลงฤดูแว่บผ่านเข้ามาเมื่อนั้น ก็อยากจะถามว่าเราจะป้องกันปริมาณไนโตรเจนจากน้ำฝนได้อย่างไร ปรากฎการณ์ฟ้าร้องฟ้าผ่าที่นำมามาซึ่งองค์ประกอบของไนโตรเจนจำนวนมหาศาลลงมาสู่ดิน กิ่ง ก้าน ใบให้มะนาวได้สะสมดูดกิน สังเกตกระถิน ชะอม มะขามอ่อนริมรั้ว หรือต้นหญ้าริมถนนบนท้องทุ่งนาแตกกอชูช่อเขียวขจีนี่ก็อิทธิพลจากสายฝนเช่นเดียวกันนะครับ

ฉันใดก็ฉันนั้นมะนาวที่ถึงแม้จะมีพื้นที่ใต้ทรงพุ่มที่เป็นดินทรายหรือดินที่ปราศจากอินทรีย์วัตถุหรือปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกในการละลายไนโตรเจนส่งขึ้นไปก็ยังมีโอกาสได้รับแร่ธาตุไนโตรเจนจากน้ำฝนได้ด้วย ก็ทำให้ปริมาณของไนโตรเจนสูงกว่าคาร์บอน โอกาสที่จะมีดอกก็ยาก (ถึงแม้ว่ามะนาวจะออกดอกพร้อมกับใบอ่อนก็ตามนะครับ เพราะความจริงแล้วการบริหารจัดการมะนาวดีๆ มะนาวก็สามารถติดดอกออกมาทุกข้อทุกกิ่งหรือตั้งแต่โคนต้นด้วยซ้ำ ไม่จำเป็นต้องออกเฉพาะช่วงปลายยอดตามวิธีการเพาะปลูกแบบการใช้สารเคมีหรือสารใช้สารบังคับและดึงช่อ)

การบล็อกไนโตรเจนด้วยหินแร่ภูเขาไฟ (พูมิช (Pumish), พูมิชซัลเฟอร์ (Pumish Sulpher) ด้วยการใส่โรยทางดินอัตรา 0.5 – 1 กิโลกรัมต่อต้น พร้อมกับการฉีดพ่นสูตรยับยั้งใบอ่อน (น้ำ 20 ลิตร ซิลิสิค 5 กรัม, ไวตาไลเซอร์ 5 กรัม, น้ำตาลทราย 50 กรัม, ฮอร์โมนไข่ 20 ซี.ซี. ไคโตซาน MT 10 ซี.ซี. และน้ำมะพร้าวอ่อน 100 ซี.ซี.) ก็สามารถช่วยให้มะนาวต้านทานผ่านฝนหลงฤดูได้อย่างสบาย และที่สำคัญช่วยทำให้มะนาวของเราออกดอกติดผลนอกฤดูกาลได้ง่ายหายห่วงยิ่งขึ้น สนอกสนใจในรายละเอียดเพิ่มเติม เรื่องเกษตรปลอดสารพิษ ให้คิดถึงเรานะครับ โทร. 02 986 1680 – 2

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com

ข้อมูลการใช้ พูมิชซัลเฟอร์เพิ่มผลผลิตองุ่นที่ อ.สามพราน จ.นครปฐม

4 มิ.ย.

ถ้าพูดถึงผลไม้ที่มีการใช้ยาฆ่าแมลงมากเป็นอันดับต้นๆ หลายท่านคงคิดถึงองุ่นอย่างแน่นอน องุ่นเป็นผลไม้ที่มีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งราคาที่สูงก็ต้องแลกมาด้วยการดูแลที่ยากลำยากตามมาด้วย การดูแลที่ยากที่กล่าวมาก็คือ องุ่นจะมีปัญหาเรื่องโรคและแมลงค่อนข้างมาก ส่วนมากจะเจอปัญหาเรื่องเชื้อราและเพลี้ย ซึ่งเกษตรกรผู้ปลูกต้องใช้ยาฆ่าแมลงในการกำจัดค่อนข้างมาก เพราะองุ่นที่ดีมีคุณภาพเมล็ดต้องสวยไม่มีจุดหรือรอยของโรคด้วย

ข้อมูลที่ผู้เขียนจะนำเสนอในบทความตอนนี้ก็คือผลการใช้หินแร่ภูเขาไฟในไร่องุ่นแล้วช่วยเพิ่มผลผลิตองุ่นได้ 100% และยังช่วยในเรื่องการลดการใช้ยาฆ่าแมลงในไร่องุ่นอีกด้วย ซึ่งเกษตรกรตัวอย่างของเราก็คือ คุณกิจติพงษ์ บุญชู ที่อยู่ ม.10 ต.ตลาดจินดา อ.สามพราน จ.นครปฐม ปลูกองุ่นพันธุ์ ”ป๊อคดำ” เป็นองุ่นพันธุ์ที่ใช้ผลิตเป็นไวน์ อยู่ 4 ไร่ แรกเริ่มเดิมที การปลูกองุ่นจะใช้วิธีตามแบบที่ได้เรียนรู้มาโดยการใช้ยาฆ่าแมลงในการกำจัดโรคและแมลง และผลผลิตต่อปีอยู่ที่ 9,800 กิโลกรัม แต่ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเรื่องยาฆ่าแมลงสูงเอาการ เลยต้องการวิธีที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายเรื่องยาฆ่าแมลงโดยจะเน้นทางเลือกใหม่ๆจนมาเจอกับชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ที่เน้นในเรื่องของการป้องกันโรคแมลงโดยวิธีสร้างความแข็งแรงแข็งแกร่งให้กับพืช แล้วเกิดความสนใจเลยลองปรึกษากับเจ้าหน้าที่ของชมรมเกษตรปลอดสารพิษ แล้วได้นำวิธีการใช้หินแร่ภูเขาไฟเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับองุ่นในไร่ วิธีใช้พูมิชซัลเฟอร์เพิ่มผลผลิตองุ่นของคุณกิจติพงษ์ บุญชู

1. ใช้พูมิชซัลเฟอร์หว่านรองพื้นก่อนปลูกไร่ละ 300 กิโลกรัมก่อนปลูก

2. ใช้พูมิชซัลเฟอร์ผสมปุ๋ยอัตรา ปุ๋ย 150 กิโลกรัม ต่อ พูมิชซัลเฟอร์ 40 กิโลกรัม (ปุ๋ย3 กส. ต่อ พูมิชซัลเฟอร์ 2 กส.) โดยปุ๋ยที่ใช้ ครั้งที่ 1 จะใช้ปุ๋ยสูตร 8-24-24 ,ครั้งที่2 ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 , ครั้งที่3 จะใช้ปุ๋ยสูตร 8-24-24 , ครั้งที่4 จะใช้ปุ๋ยสูตร 0-0-60

ความแตกต่างหลังจากที่ใช้พูมิชซัลเฟอร์แทบกับไร่องุ่นอื่นๆที่อยู่ข้างๆ คือ ที่ไร่จะไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ยกตัวอย่างเช่น เพลี้ย ที่ฟาร์มอื่นต้องฉีดยาทุกๆ 3 วัน แต่ที่ฟาร์มแทบไม่ต้องฉีดยาเลย ปัญหาเรื่องโรคเชื้อราก็ไม่มี ทำให้ประหยัดเรื่องยาฆ่าแมลงลงไปมากกว่า 80% การเจริญเติบโตของต้นองุ่นก็ดี ใบใหญ่ ใบเขียวเข้ม ใบแข็ง สภาพโดยรวมดูดีกว่าฟาร์มอื่นๆ แต่ที่น่าทึ่งและอัฒจันทร์ก็คือ ผลผลิตขององุ่นในปีนี้ กะด้วยสายตาน่าจะประมาณ 20,000 กิโลกรัม ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก ปกติผลผลิตองุ่นจะอยู่ที่ไม่เกิน 10,000 กิโลกรัม แต่ปีนี้น่าจะได้ถึง 20,000 กิโลกรัม ทั้งที่ใส่ปุ๋ยเท่าเดิม ทำเหมือนเดินทุกอย่าง ทำให้คุณกิจติพงษ์รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก

ไร่องุ่นของคุณกิจติพงษ์จะเริ่มเก็บผลผลิตช่วงวันที่ 10 มิถุนายน 58 นี้เป็นต้นไปทางชมรมเกษตรปลอดสารพิษจะนำข้อมูลผลผลิตที่แน่นอนมารายงานให้ท่านๆทราบอีกครั้งหนึ่งครับ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่คุณจตุโชค จันทรภูมี โทร.085-9205846 หรือสอบถามไปที่ฝ่ายวิชาการของชมรมเกษตรปลอดสารพิษโทร.02-9861680-2

เขียนและรายงานโดย

นายจตุโชค จันทรภูมี

ฉีดสมุนไพรป้องกันเพลี้ยไฟไรแดงในระยะติดดอกออผลอ่อน

3 มิ.ย.

สวนมะม่วงหลายสวนในระยะนี้เริ่มที่จะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของการทำให้มะม่วงของตนเองติดดอกและมีเวลารักษาดอกให้อยู่รอดปลอดภัยไปจนเป็นผลอ่อนเท่าหัวเข็มหมุดหรือหัวไม้ขีดไฟ ต่างก็ระดมโถมใส่แร่ธาตุและสารอาหารนานาชนิดลงไปในสวนของตนเองอย่างขะมักเขม้น ยิ่งเป็นสวนมือใหม่ไร้ข้อมูลพื้นฐานที่เพียงพอ ก็จะเป็นสวนที่ถูกยัดโน่น ยัดนี่จากพ่อค้าแม่ขายปัจจัยผลิตด้านการเกษตรมากหน่อย จนปล่อยให้ต้นทุนตนเองโอเว่อร์เกินความจำเป็น ต้องเสียเงินเสียทองมากกว่าสวนอื่นๆ เพราะมีอะไรก็อัดๆ ใส่ๆ ไปอย่างนั้น โดยที่ไม่รู้ไม่ทราบว่า ปัจจัยใดมีประโยชน์ต่อสถานการณ์ของสวนในช่วงใด

ทางที่ดีควรจะต้องอ่าน ศึกษาหาความรู้คู่ตัวเกี่ยวกับอาชีพที่จะต้องทำให้มากๆ เข้าไว้ ในระยะที่ต้องการให้มะม่วงมีการติดดอกออกผลดี นั้นก็จำเป็นที่จะต้องเน้นแร่ธาตุและสารอาหารที่เกี่ยวข้องในเรื่องของการผสมเกสร ลดการหลุดร่วง อย่างกลุ่มของแคลเซียมโบรอน (สูตรแคลเซียมโบรอน ปุ๋ย 15-0-0 1.2 กิโลกรัม, โบรอนพืช 400 กรัม ซิลิสิค 1,000กรัม ละลายในน้ำ 20 ลิตร สารจับใบ ม้อยเจอร์แพล้นท์ 20 ซี.ซี. กวนละลายให้เข้ากันนำไปใช้ในอัตราครั้ง 100 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร) ทุก 7 วัน ฉีดพ่นตั้งแต่เริ่มเปิดดอกร่วมกับ ไวตาไลเซอร์ 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ก็จะช่วยทำให้มะม่วงมีการติดดอกออกผลอย่างพร่างพรูและไม่หลุด หล่น ร่วง ลงสู่พื้นดินโดยง่าย

แต่จะอย่างไรก็ตามในระยะที่ติดดอกออกผลอ่อนอยู่นี้พี่น้องเกษตรกรก็มักจะมีปัญหาในเรื่องของเพลี้ยไฟไรแดง ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัส แก้ไขได้ค่อนข้างยาก เนื่องเพลี้ยไฟมีขนาดเล็ก แทบจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ต้องส่องด้วยแว่นขยาย จึงจะพอรู้ได้ว่าเป็นเพลี้ยไฟไรแดง จากปัญหาที่ตัวเล็กนี่เองจึงทำให้การป้องกันกำจัดทำได้ยาก ถ้าใช้แต่เพียงจุลินทรีย์ “ทริปไตฝาจ” กำจัดเพลี้ย เพียงอย่างเดียว ก็อาจจะทำให้สปอร์ไปโดนหรือสัมผัสเพลี้ยไฟไรแดงทำได้ยาก จึงมักจะต้องใช้ ทริปโตฝาจ ร่วมกับ สารสกัดสะเดา (ชื่อการค้า มาร์ดโก้ซีด หรือจะหมักเองก็ใช้ เมล็ดสะเดา 1 ก.ก. ทำการโขลกบดตำให้ละเอียด แช่น้ำไว้หนึ่งคืน พอเช้านำมากรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วเพิ่มน้ำเปล่าเข้าไปอีก 80 ลิตร เป็นหนึ่งร้อยลิตร) นำไปฉีดพ่นก็ได้เช่นเดียวกัน และยังไม่พอนะครับ ดังที่ว่าเพลี้ยไฟไรแดงนั้นดูแลแก้ปัญหายาก ท่านจะต้องเพิ่มสารสกัดจากกระเทียมพริกไทเข้าไปช่วยด้วย (ชื่อการค้า ไพเรี่ยม หรือจะหมักเอง ก็ใช้ กระเทียม 2 ขีด พริกไทดำ 1 ขีด พริกป่น 1 ขีด หมักกับแอลกอฮอล์ล้างแผล 70% หรือเหล้าขาว 500 ซี.ซี. หมักไว้ประมาณ 7 วัน ) นำมาใช้ครั้งละ 10 – 20 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นไปในคราวเดียวกัน ปัญหาเรื่องเพลี้ยไฟไรแดงในสวนมะม่วงของท่านก็จะลดน้อยถอยลงไปได้อย่างแน่นอนครับ เรื่องเกษตรปลอดสารพิษ ให้คิดถึงเรานะครับ

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com